วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558
23.10.2558 บทเรียน การเมือง กรณี ปฏิญญา ฟินแลนด์ บทสรุป ศาลฎีกา
บทเรียน การเมือง กรณี ปฏิญญา ฟินแลนด์ บทสรุป ศาลฎีกา
(ที่มา:ติชนรายวัน 23 ต.ค.2558)
คําพิพากษาศาลฎีกาคดีที่พรรคไทยรักไทยยื่นฟ้อง นายปราโมทย์ นาครทรรพ และบริษัท มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในกรณีที่เรียกว่า "ยุทธศาสตร์ฟินแลนด์" หรือ "ปฏิญญาฟินแลนด์"
น่าคิด น่าศึกษา
ไม่เพียงเพราะบทความของ นายปราโมทย์ นาครทรรพ ชิ้นนี้ ตีพิมพ์เผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2549
หากแต่ยังเป็น "เครื่องมือ" สำคัญในการ "ขยายความ"
1 ขยายความเป็น "ประเด็น" ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขณะเดียวกัน 1 พัฒนาเป็นบทความอื่นและหนังสือเป็นเล่มอีกจำนวนหนึ่ง
ภายใต้ "ข้อมูล" และ "ความเชื่อ" อย่างเดียวกัน
เป็นข้อมูลและความเชื่ออันดำเนินไปตามชื่อของบทความ นั่นก็คือ "ยุทธศาสตร์ฟินแลนด์:แผนการเปลี่ยนแปลงการปกครองไทย?"
สะท้อนบทบาทในการ "ปูทาง" และ "สร้างเงื่อนไข"
อันนำไปสู่การยึดอำนาจ โค่นล้มรัฐบาลซึ่งมาจากกระบวนการเลือกตั้งโดยวิธีการรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549
อันกลายเป็น "วิกฤต" ต่อเนื่องมากระทั่ง "ปัจจุบัน"
กระบวนการฟ้องร้องและต่อสู้ระหว่างโจทก์และจำเลยในคดีที่รับรู้กันในนามว่า "คดีปฏิญญาฟินแลนด์" นี้ดำเนินไปอย่างเป็นขั้นตอน
ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2552 ว่า
"บทความนี้ไม่ได้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามหลักวิชาการ มีเนื้อหาดูหมิ่นโจทก์ทั้งสอง จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ 4 เป็นเวลา 1 ปี และปรับคนละ 100,000 บาท"
จำเลยที่ 1 และ 4 ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2556 ยืนบทลงโทษในส่วนของ นายปราโมทย์ นาครทรรพ จำเลยที่ 1 แต่ นายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง
นายปราโมทย์ นาครทรรพ ยื่นฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2558 ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนให้จำคุก 1 ปี และปรับ 100,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญามีกำหนด 2 ปี
และให้โฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ไทยรัฐ เดลินิวส์ บ้านเมือง มติชน เป็นเวลา 7 วัน ติดต่อกัน
โดยจำเลยที่ 1 (นายปราโมทย์ นาครทรรพ) เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
คดีปฏิญญาฟินแลนด์ก็เช่นเดียวกับคดีแถลงการณ์ปราสาทพระวิหาร ก็เช่นเดียวกับคดียิงกระทรวงกลาโหม ก็เช่นเดียวกับคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์
นั่นก็คือ ผ่านขั้นตอนของ "ศาลฎีกา"
และขั้นตอนนั้นสะท้อนว่ากรณีปฏิญญาฟินแลนด์ ไม่ได้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามหลักวิชาการ
และขั้นตอนนั้นสะท้อนว่ากรณีแถลงการณ์ปราสาทพระวิหารมิได้เป็นไปตามข้อกล่าวหา
และขั้นตอนนั้นสะท้อนว่ากรณีการยิงกระทรวงกลาโหมที่ระบุว่าเป้าหมายคือวัดพระศรีรัตนศาสดารามมิอาจระบุว่าเป็นความผิดของจำเลย
และขั้นตอนนั้นสะท้อนว่ากรณีการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ไม่อาจระบุว่าเป็นความผิดของจำเลย
บทสรุปของ นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเคยเป็น "เหยื่อ" ในข้อกล่าวหาว่าทำให้ไทย "อาจจะ" เสียดินแดน
จึงน่าศึกษา น่าพิจารณา
"เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์และเป็นบทเรียนว่า ในทางการเมืองนั้นแม้เราจะชอบหรือไม่ชอบใครก็ตามควรนำความจริงมาพูดกัน นับแต่นี้เป็นการใส่ร้ายกันด้วยความเท็จควรยุติกันได้แล้ว เพราะสังคมไม่ได้ประโยชน์ แต่ผู้ถูกใส่ร้ายได้รับความเสียหาย"
กรณี "ปฏิญญาฟินแลนด์" มีการใส่ร้ายตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2549 และศาลฎีกาทำความกระจ่างในคำพิพากษาในเดือนตุลาคม 2558
ใช้เวลา 9 ปีเศษ จึง "ปรากฏ"
ไม่ว่าบทเรียนคดีฟินแลนด์ ไม่ว่าบทเรียนคดียิงกระทรวงกลาโหม ไม่ว่าบทเรียนกรณีแถลงการณ์ปราสาทพระวิหาร ไม่ว่าบทเรียนกรณีเผาเซ็นทรัลเวิลด์
เป็น "บทเรียน" อันทรงคุณค่าและ "ความหมาย"
ด้าน 1 สะท้อนให้เห็นความอาฆาตมาดร้ายในทางการเมือง ด้าน 1 สะท้อนให้เห็นวิถีดำเนินแห่งกระบวนการยุติธรรม
"คำตอบ" จึงขึ้นกับ "ศาลฎีกา"
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น