วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558

30.06.2558 ถอดความคิด วิระทู ภิกขุ โดย ปิยมิตร ปัญญา piyamitara@gmail.com มติชน 30 พ.ค. 2558

ถอดความคิด วิระทู ภิกขุ โดย ปิยมิตร ปัญญา piyamitara@gmail.com มติชน 30 พ.ค. 2558
หากสอบถามกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน และสิทธิเสรีภาพถึงสาเหตุที่ทำให้บรรดา "โรฮีนจา" หลั่งไหลหลบหนีออกมาจากพม่า หนึ่งในคำตอบที่ได้คือ อะชิ่น วิระทู ที่พิจารณาจากคำนำหน้านามว่า "อะชิ่น" แล้วได้ความทันทีว่า นี่คือ "นักบวช" ในพุทธศาสนาหรือ "พระสงฆ์" อย่างที่เราคุ้นเคยกันดี (พม่านับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท หรือหินยานนิกาย มีคำนำหน้าชื่อพระสงฆ์ รวม 7 รูปแบบ เพื่อแสดงออกถึง "พรรษา" ที่แตกต่างกัน เรียงตามลำดับจากอ่อนไปจนถึงแก่พรรษาดังนี้ พัทธันตะ, อะชิ่น, ชิ่น, อู, อุปาซิน, สะยาดอ, สะยาดอกะยี) วิระทู ภิกขุ คือใคร มีความเป็นมาอย่างไร ทำไมถึงได้ส่งอิทธิพลต่อมุสลิมและโรฮีนจา มากมายถึงขนาดนั้น? ในสื่อตะวันตก มีฉายาเรียกขานพระภิกษุรูปนี้เอาไว้น่ากลัวว่า "พุทธ บิน ลาเดน" หรือ "เบอร์มีส บิน ลาเดน" โทมัส ฟุลเลอร์ แห่ง นิวยอร์ก ไทมส์ บอกเอาไว้ว่า วิระทู ภิกขุ ทั้งไม่ยอมรับหรือปฏิเสธฉายาที่ว่านี้ บอกกับผู้สื่อข่าวรายหนึ่งเพียงว่า "ฉันภูมิใจที่ถูกเรียกว่าเป็นคนพุทธหัวรุนแรง" เพนนี กรีน ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการว่าด้วยความคิดริเริ่มเพื่อตรวจสอบอาชญากรรมแห่งรัฐนานาชาติ (ไอเอสซีไอ) ของมหาวิทยาลัยควีนแมรีแห่งลอนดอน ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษกล่าวถึงพระวิระทู เอาไว้ว่า เป็นผู้แสดง "บทบาทหลัก" ด้วย "คำสอนแห่งความเกลียดชัง" เพื่อสร้างสภาวะ "อิสลาโมโฟเบีย" คือความกลัว ความหวาดระแวงต่ออิสลาม ขึ้นในพม่า "ส่งผลให้โรฮีนจา เหมือนตกอยู่ในท่ามกลางวงล้อมของชุมชนที่เป็นปฏิปักษ์ซึ่งสามารถถูกปลุกระดมให้ก่อเหตุรุนแรงขึ้นได้อย่างรวดเร็วยิ่ง" เพนนีกรีนกล่าวต่อว่า "ทำไมคนเหล่านี้ต้องหลบหนีออกมาในเรืออย่างนั้น? ทำไมต้องตัดสินใจเสี่ยงกับความตายแน่ชัดเจนในระดับหนึ่งกลางทะเลหลวง? คำตอบก็เพราะสิ่งที่พวกเขามีอยู่รอบตัวเมื่อบวกกับอนาคตที่ไร้ความหวัง เลวร้ายกว่าการเสี่ยงตายที่ว่านั้นมากนัก" ชื่อ วิระทู ภิกขุ โด่งดังเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติมาจากเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นต่อชาวมุสลิมและโดยเฉพาะชาวโรฮีนจา ในพม่าหลายระลอกในช่วงระยะหลัง ได้รับการขนานนามให้เป็น "ผู้นำจิตวิญญาณ" ของขบวนการพุทธศาสนาสุดโต่ง ที่เรียกตัวเองว่า "ขบวนการ 969" ในพม่า เป็นคนที่เรียก ลี ยังฮี ทูตพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติ ที่ออกมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้โรฮีนจาเมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า "นังสุนัข" และ "โสเภณี" นี่คือเบื้องต้นของ "อะชิ่น วิระทู" ผู้นี้! "โซ วินถั่น" และ "โก โกนาย" สองผู้สื่อข่าววิทยุบีบีซี ภาคภาษาพม่า ให้ความเป็นมาของ วิระทู ภิกขุ เอาไว้น่าสนใจมาก เขาบอกว่าย้อนหลังไปเมื่อ 10 ปีก่อน ไม่เคยมีใครรู้จักชื่อนี้ แต่ใช้เวลาไม่ช้าไม่นานนักชื่อเสียงก็กระฉ่อนเคยแม้กระทั่งขึ้นปกนิตยสารไทม์ เอเชียเอดิชั่น มาแล้ว พระวิระทู เป็นชาวมัณฑะเลย์ เกิดเมื่อปี 1968 อายุได้ 14 ปี ก็ออกจากโรงเรียน โกนหัวบวชเรียนในร่มพระพุทธศาสนา ชื่อของพระวิระทู เริ่มถูกกล่าวขานกันเมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการชาตินิยมต่อต้านมุสลิม ที่เรียกตัวเองว่าขบวนการ 969 (ฟุลเลอร์ บอกว่า ตัวเลข 3 ตัวดังกล่าว มีนัยถึง พระพุทธ, การปฏิบัติธรรม และชุมชนชาวพุทธ ซึ่งน่าจะเป็นความเชื่อท้องถิ่น) การเคลื่อนไหวดังกล่าวของขบวนการนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2001 ในช่วงเวลาที่พม่ายังคงปกครองด้วยรัฐบาลทหาร รัฐบาลทหารพม่าตีตราขบวนการนี้ว่าเป็นขบวนการรุนแรงสุดโต่ง(เอ็กซตรีมิสต์)ซึ่งกลุ่ม 969 ปฏิเสธ กระนั้น การเข้าไปเกี่ยวพันดังกล่าวทำให้ วิระทู ภิกขุ ถูกจับกุมเมื่อปี 2003 ข้อมูลหลังจากส่วนนี้มีรายละเอียดแตกต่างกันอยู่บ้าง วอชิงตัน โพสต์ ระบุว่า รัฐบาลทหารพม่าจับพระวิระทู เปลื้องจีวร สึก ก่อนนำตัวไปควบคุมไว้ที่เรือนจำแห่งหนึ่งพร้อมทั้งทำทารุณกรรมระหว่างจำขังตามแบบฉบับของรัฐบาลทหารพม่า ในขณะที่บีบีซีไม่ได้พูดถึง อย่างไรก็ตาม พระวิระทู เป็นอิสระในปี 2012 โดยเป็นหนึ่งในจำนวนนักโทษการเมืองที่ได้รับการอภัยโทษเป็นการทั่วไป เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะก้าวสู่เส้นทางประชาธิปไตยของพม่า วอชิงตัน โพสต์ บอกว่า หลังจากเป็นอิสระ วิระทู ที่กลับมาเป็นพระอีกครั้ง เดินทางไปทั่วประเทศ เทศนาสั่งสอนแนวความเชื่อของตนเอง พร้อมทั้งแจกจ่าย "ดีวีดี" ที่บรรจุคำสอนตามแนวความคิดของตนเองออกไปในวงกว้าง บีบีซีบอกว่า ภายใต้กฎเกณฑ์และข้อบังคับทางการเมืองที่ผ่อนคลายลง ความเคลื่อนไหวของพระวิระทู ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น หลากหลายมากขึ้น ผ่านทาง "โซเชียลมีเดีย" ต่างๆ ตั้งแต่จัดทำวิดีโอคำสอนโพสต์ไว้บนเว็บไซต์ของยูทูบ และเฟซบุ๊กที่มีผู้ "ฟอลโลว์" มากกว่า 37,000 คน น่าสนใจที่ในปี 2012 เดียวกันนั้น เกิดจลาจลครั้งใหญ่ขึ้นในรัฐยะไข่ ระหว่างคนมุสลิมที่เกือบทั้งหมดเป็นโรฮีนจา กับชุมชนชาวพุทธที่นั่น ระหว่างเหตุการณ์ ชื่อ อะชิ่น วิระทู กลายเป็นชื่อติดปากชาวพม่าทั่วไป ด้วยคำสอนที่เร่าร้อนเกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้ คำสอนที่เริ่มต้นด้วยคำเตือนต่อชาวพม่าทั่วไปว่า "ไม่ว่าจะทำอะไร ขอให้ทำอย่างผู้ที่เป็นชาตินิยม" ผู้สื่อข่าวต่างประเทศคนล่าสุดที่เข้าพบและสัมภาษณ์ พระวิระทู เมื่อเร็วๆ นี้ ที่บ้านของ "สาวก" ผู้หนึ่งของพระภิกษุรูปนี้คือ ชาแชงค์ เบงกาลี ผู้สื่อข่าว ลอสแองเจลิส ไทม์ส อะชิ่น วิระทู บอกกับผู้สื่อข่าวรายนี้ว่า ถ้าจะเปรียบเทียบกันแล้ว ตนไม่เหมือนกับ บิน ลาเดน แต่เหมือนกับพระเอกในนวนิยายสายลับของ "เอียน เฟลมมิ่ง" ที่ลือลั่นไปทั่วโลกอย่าง "เจมส์ บอนด์" มากกว่า "เจมส์ บอนด์ ก็เป็นชาตินิยม" พระวิระทูบอก "อย่างยิ้มแย้ม" พร้อมกับยกอุทาหรณ์จากนิยายสายลับเรื่องดังกล่าวให้ฟังว่า พระเอกเจ้าของรหัส 007 จำเป็นต้อง "พาผู้หญิงขึ้นเตียง" เพียงเพราะจำเป็นต้องรีดความลับจากเธอเหล่านั้น "เขาคงไม่พึงพอใจกับการกระทำที่ว่านั้นเท่าใดนัก แต่ต้องทำลงไปเพื่อประเทศชาติ" บอนด์จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ พระวิระทูยืนยันว่า สิ่งที่ตนกระทำลงไปนั้น เพื่อ "ป้องกันประเทศพม่า" จากคนที่ตนเห็นว่าเป็น "ศัตรูสำคัญ" นั่นคือ "มุสลิม" "มุสลิมส่วนใหญ่ทำลายประเทศเรา ทำลายคนของเรา และพุทธศาสนาของเรา" พระสงฆ์รูปนี้บอกกับแอลเอ ไทมส์ อย่างนั้น ทั้งๆ ที่มีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า โรฮีนจาในพม่ามีสัดส่วนเพียงแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ หรืออย่างมากที่สุดก็แค่ 4 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งประเทศ 51 ล้านคน ซึ่ง 90 เปอร์เซ็นต์เป็นชาวพุทธ อีกส่วนที่เหลือเป็นคริสต์ แนวความคิดของพระรูปนี้ ยังไม่แปรเปลี่ยนไปจากที่เคยบอกกับ ฮันนาห์ บีช แห่งนิตยสารไทม์ ที่เข้าพบและพูดคุยกันยาวนานถึง 3 ชั่วโมง ครั้งนั้น พระวิระทูบอกว่า "มุสลิม เป็นภัยคุกคามต่อทั้งประเทศชาติและวัฒนธรรมของพม่าเพราะ "คนพวกนี้ออกลูกออกหลานเร็วมาก แล้วยังฉุดคร่าผู้หญิงของพวกเราไป ข่มขืนผู้หญิงเหล่านั้น" เพื่อบังคับให้เข้ารีตนับถือศาสนาอิสลาม "พวกนี้ต้องการครอบครองประเทศของเรา ฉันไม่ยอมหรอก เราต้องรักษาพม่าให้เป็นเมืองพุทธต่อไป" ก่อนหน้านั้น พระวิระทู ใช้เวลานาน 90 นาที อธิบายเรื่องเหล่านี้ให้ประดาสาวกทั้งหลายในวัดมะโสยีนใหม่ ในมัณฑะเลย์ เมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ ที่ตนเองเป็นเจ้าอาวาส ความตอนหนึ่งระบุไว้ว่า "นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมานั่งสงบเสงี่ยม...นี่คือเวลาที่ต้องลุกขึ้นสู้ เวลาที่ต้องปลุกเร้าเลือดของเราให้เดือดพล่าน" ในความคิดของ วิระทู ภิกขุ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกา "แปดเปื้อนด้วยเลือดของมุสลิมดำ" ในขณะเดียวกันกับที่เชื่อว่า "กลุ่มชาติอาหรับ" รวมหัวกันฉกเอา "สหประชาชาติ" ไปเป็นของพวกตนไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ วิระทู ภิกขุ ยืนกรานหนักแน่นมั่นคงนักหนาก็คือว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของมุสลิมพม่าเป็นพวก "หัวรุนแรง เป็นคนเลว" พระวิระทู และขบวนการ 969 เรียกร้องให้ชาวพุทธพม่ามีความสัมพันธ์กันจำเพาะในชาวพุทธด้วยกันเอง ปฏิเสธการเข้าไปผูกพันกับคนที่มีความเชื่ออื่น นับถือศาสนาอื่น "เราต้องดูแลรักษาศาสนาของเรา ชาติพันธุ์ของเรา การดูแลชาติพันธุ์และศาสนาของเราให้ดำรงไว้นั้นสำคัญยิ่งกว่าประชาธิปไตยเสียอีก" พระวิระทูบอก ในระหว่างการพบพูดคุยกับ โทมัส ฟุลเลอร์ พระวิระทู แสดงความคิดเห็นต่อเหตุจลาจลที่เกิดขึ้นในเดือนมีนาคมปี 2013 ที่เมกถิลา ที่รวมถึงการบุกเข้าไปก่อเหตุสังหารหมู่เด็กนักเรียนและชาวมุสลิมอื่นๆ จนมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 คน และอีกกว่า 150,000 คนต้องหลบหนีออกจากบ้านที่พักอาศัย กลายเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศอยู่จนถึงบัดนี้ว่า เป็นการแสดงถึงความ "เข้มแข็ง" "เราอ่อนแอไม่ได้ ถ้าเราอ่อนแอ ดินแดนของเราจะตกเป็นของมุสลิม" ฟุลเลอร์บอกว่า แนวความคิดสุดโต่งของพระวิระทู ซึ่งปฏิเสธว่าตนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเหตุรุนแรงใดๆ ที่เกิดขึ้น แต่สนับสนุนการกระทำเหล่านั้น นอกจากจะแพร่หลายออกไปแล้วยังขยายขอบเขตหลากหลายออกไปในหลายด้าน ตั้งแต่การบอยคอตสินค้ามุสลิม และริเริ่มโครงการ "โรงเรียนธรรมะวันอาทิตย์" เพื่ออบรมสั่งสอนเด็กๆ และเยาวชนของชาติให้ตระหนักถึง "ภยันตราย" นี้ ในทางหนึ่ง พระวิระทูวางพื้นฐานความคิดของตนเองไว้บนข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ที่ย้อนหลังกลับไปยาวนานมาก ที่ว่า ประเทศอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย อัฟกานิสถาน ปากีสถาน กระทั่งบังกลาเทศนั้นเคยเป็นดินแดนพุทธมาก่อนหน้าที่จะถูกครอบงำโดยมุสลิม ข้อสังเกตในอีกทางหนึ่งก็คือสังคมพุทธในพม่าดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยวยาวนานมีสัมพันธ์กับโลกพุทธศาสนาภายนอกเบาบางมาก มีข้อยกเว้นอยู่ตรงที่ ได้รับแบบอย่างและอิทธิพลของพระสงฆ์ที่เข้าไปมีบทบาททางการเมือง และสังคมสูงมากจากศรีลังกา ประเทศที่มีชาวสิงหลเป็นชนส่วนใหญ่และเต็มไปด้วยความขัดแย้งรุนแรงกับชนเชื้อสายทมิฬที่เป็นคนกลุ่มน้อย ถามว่าแนวความคิดของวิระทูภิกขุ มีอิทธิพลมากมายแค่ไหน? คำตอบของบีบีซี ภาคภาษาพม่า ก็คือ ไม่ถึงระดับรวมศูนย์สงฆ์ทั่วประเทศได้เหมือนอย่างกลุ่มแกนนำพระสงฆ์ที่ก่อหวอดเดินขบวนประท้วงรัฐบาลทหารครั้งใหญ่เมื่อปี2007 แต่ก็มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้พระสงฆ์ราวครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศเห็นพ้องในประเด็นที่ว่าด้วยภัยคุกคามจากมุสลิม ในแผ่นปลิวและดีวีดีเพื่อส่งเสริมสนับสนุนความเคลื่อนไหวของขบวนการ969 มีเพลงที่พูดถึง "มุสลิม" โดยไม่ระบุชื่อ แต่วิระทู ภิกขุ ยืนยันว่า หมายถึงมุสลิม ว่า เป็นพวกที่ "ใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินของเรา ดื่มน้ำของเรา แต่ไม่สำนึกในบุญคุณของเรา" ข้อความในใบปลิวคำสอน ระบุไว้ชัดเจนมากขึ้นว่า "พม่ากำลังเผชิญอยู่กับอันตรายครั้งใหญ่หลวงที่สุด กับพิษภัยที่น่าหวั่นกลัวที่สุด ที่มีพลานุภาพร้ายแรงถึงระดับที่สามารถทำลายความศิวิไลซ์ทั้งหลายให้หมดไปได้เลย" ทั้งหมดนั่นนำไปสู่ ท่อนที่เป็นสร้อยของเพลงที่ใช้เป็นเพลงประจำขบวนการ ซึ่งมีความหมายว่า "เราพร้อมใช้กระดูกมาสร้างเป็นรั้ว หากจำเป็น" อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกคนจะเห็นพ้องไปกับ วิระทู ภิกขุ แต่น้อยคนมากที่จะออกมาพูดถึง และยิ่งน้อยลงไปอีกที่พูดถึงแล้วสามารถก่ออิทธิพลกับขบวนการของพระรูปนี้ในพม่าได้ องค์ทะไล ลามะ ตัวแทนภาพลักษณ์ในอีกด้านหนึ่งของพระพุทธศาสนาที่โลกรู้จัก ระบุเอาไว้ว่า การอาศัยศาสนาพุทธไปเป็นเครื่องมือในการ "ฆ่าคน" นั้น แม้แต่ในจินตนาการ ยังจินตนาการไปไม่ถึง บีบีซีบอกว่า ติน ติน นโย เลขาธิการสันนิบาตสตรีแห่งชาติของพม่า พูดถึงความเห็นของพระวิระทู เอาไว้ว่า "ทำให้ประเทศของเราเสื่อมเสียชื่อเสียง...สร้างความด่างพร้อยให้กับจีวรที่ (พระวิระทู) สวมใส่ไปในเวลาเดียวกัน" มีบ้างที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า พระวิระทูและขบวนการ 969 คือเครื่องมือของรัฐบาลทั้งในการสร้างฉันทามติ และในการจัดการกับโรฮีนจา กระนั้นในการให้สัมภาษณ์ แอลเอ ไทมส์ ครั้งล่าสุด พระวิระทูบอกว่า ไม่เคยตกเป็นเครื่องมือของใคร โดยเฉพาะรัฐบาล แต่สิ่งเหล่านั้นคือความพยายามใส่ความของ "มุสลิม" ที่ต้องการให้โลกเห็นตนเป็น "ผู้ก่อการร้าย" "ฉันไม่ได้ทำงานเพื่อสร้างความร้าวฉาน ฉันทำงานอยู่บนข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับ "มองหน้าฉันซิ ฉันไม่ได้มีความเกลียดเจือปนเลยสักนิด" !!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น