บูเช็กเทียน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อู่ เจ๋อเทียน
A Tang Dynasty Empress Wu Zetian.JPG
ฮ่องเต้จีนแห่งราชวงศ์โจว
ครองราชย์16 ตุลาคม 690[1][2] – 22 กุมภาพันธ์ 705[3][4]
ก่อนหน้าจักรพรรดิถังรุ่ยจง (ราชวงศ์ถัง)
ถัดไปจักรพรรดิถังจงจง (ราชวงศ์ถัง)
พระพันปีหลวงแห่งราชวงศ์ถัง
ระหว่าง27 ธันวาคม 683 – 16 ตุลาคม 690
ก่อนหน้าจักรพรรดินีหู
ถัดไปจักรพรรดินีเหวย์
พระอัครมเหสีแห่งราชวงศ์ถัง
ระหว่าง2 ธันวาคม 655 – 27 ธันวาคม 683
ก่อนหน้าจักรพรรดินีหวัง
ถัดไปจักรพรรดินีเหวย์
อัครมเหสีในจักรพรรดิถังเกาจง
พระราชบุตร
วัดประจำรัชกาล
ไม่มี[5]
ราชวงศ์อู่ (武)
ราชวงศ์
  • ราชวงศ์ถัง (โดยการเสกสมรส)
  • ราชวงศ์โจว (โดยการครองราชย์)
พระราชบิดาอู่ ฉี้โหว อ๋องแห่งแคว้นอิ้ง
พระราชมารดาท่านหญิงหยัง
ประสูติไม่มีบันทึก
สวรรคต16 ธันวาคม ค.ศ. 705 (ราว 83 พรรษา)
ลั่วหยาง
ที่ฝังพระศพค.ศ. 706
ศาสนาพุทธมหายาน
อู่ เจ๋อเทียน ตามสำเนียงกลาง หรือ บูเช็กเทียน ตามสำเนียงฮกเกี้ยน (จีนตัวย่อ武则天จีนตัวเต็ม武則天พินอินWǔ Zétiānเวด-ไจลส์Wu3 Tse2-t'ien1; พระราชสมภพ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 624[6][7]; สวรรคต 16 ธันวาคม ค.ศ. 705[8])[9] บางทีเรียก อู่ เจ้า (จีน武曌พินอินWǔ Zhàoเวด-ไจลส์Wu3 Chao4) หรือ อู่ โฮ่ว (จีน武后พินอินWǔ Hòuเวด-ไจลส์Wu3Hou4) ในราชวงศ์ถังมักออกพระนามว่า พระนางสวรรค์ (จีน天后พินอินTiān Hòu)[10] และในสมัยต่อมาว่า พระนางอู่ (จีน武后พินอินWǔ Hòu) ทรงเป็นสตรีพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีนอันยาวนานกว่า 4,000 ปี ที่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินจีน
ในแผ่นดินของพระภัสดาและพระราชบุตรของพระนางระหว่างปี ค.ศ. 665 ถึง 690 พระนางทรงปกครองจีนโดยพฤตินัย ต่อมาในปี ค.ศ. 690 ถึง 705 พระนางทรงสถาปนาราชวงศ์ของพระนางเอง คือ ราชวงศ์โจว หรือในประวัติศาสตร์จีนเรียกว่า ราชวงศ์อู่โจว และเฉลิมพระนามพระนางเองว่าเป็น "สมมุติเทวะ" (จีน聖神皇帝พินอินเฉิ้งเฉินหวงตี้)[11] อันเป็นการละเมิดประเพณีแต่โบราณและยังทำให้ราชวงศ์ถังสะดุดหยุดลงระยะหนึ่ง นักประวัติศาสตร์ผู้นิยมลัทธิขงจื๊อจึงประณามพระนางเป็นอย่างมาก
พระนางบูเช็กเทียนทรงมีตำแหน่งสำคัญทั้งในสมัยจักรพรรดิถังไท่จง ฮ่องเต้องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ถัง และในสมัยจักรพรรดิถังเกาจง ฮ่องเต้องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์ถัง โดยแรกเริ่มทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระสนมของจักรพรรดิไท่จง เมื่อจักรพรรดิไท่จงสวรรคตในเวลาต่อมา พระนางจึงได้อภิเษกสมรสกับจักรพรรดิเกาจงเมื่อปี ค.ศ. 655 และได้รับการขนานพระนามว่า "ฮูหยินเกาจง" (จีน高宗夫人พินอินเกาจงฟูเหริน)
ในปี ค.ศ. 690 หลังจากจักรพรรดิเกาจงสวรรคตก็เกิดการแย่งชิงราชสมบัติเป็นเวลากว่า 7 ปี ในที่สุดพระนางได้ทรงตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้หญิงองค์แรกในประวัติศาสตร์จีน รวมถึงประกาศเปลี่ยนราชวงศ์ถังเป็นราชวงศ์โจวตั้งแต่นั้นมา และสวรรคตเมื่อปี ค.ศ. 705[12]
ในช่วงที่พระนางบูเช็กเทียนเป็นผู้นำทั้งด้านการปกครองและการทหาร มีการขยายอำนาจของจีนออกไปเป็นอันมากเกินกว่าอาณาเขตดินแดนเดิมที่เคยมีมา ไปถึงบริเวณทวีปเอเชียกลาง รวมถึงการครอบครองพื้นที่แถบคาบสมุทรเกาหลีเหนือตอนบน ส่วนภายในประเทศจีนเอง แม้จะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการไขว่คว้าเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจของพระนางทั้งในการสู้รบ ปราบปรามกบฏ และลงโทษประหารชีวิต แต่พระนางได้ทรงพัฒนาประเทศโดยการส่งเสริมและเผยแพร่ระบบการสอบจอหงวนเพื่อส่งเสริมให้บัณฑิตผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามารับราชการบริหารประเทศโดยไม่คำนึงถึงชนชั้น[13] ส่งเสริมและยกระดับบทบาทของสตรีเพศโดยเปิดโอกาสให้เข้ารับตำแหน่งราชการในระดับสูง นอกจากนี้พระนางยังให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนด้วยการลดภาษีอากรที่กดขี่ ส่งเสริมการเกษตรและการสร้างงาน[13] ทำให้ประเทศจีนในยุคของพระนางมีความเข้มแข็งและพัฒนาด้านเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
พระนางบูเช็กเทียนทรงส่งเสริมและให้ความสำคัญแก่พระพุทธศาสนามากกว่าลัทธิเต๋าในฐานะเป็นศาสนาประจำชาติ จนจัดให้มีการสร้างวัดและปฏิมากรรมในถ้ำ เช่น ถ้ำผาหลงเหมิน กล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนาได้รับการพัฒนาอย่างสูงสุดในประเทศจีนในช่วงยุคของพระนางนั่นเอง[13]
นอกจากในฐานะผู้นำทางการเมืองพระนางบูเช็กเทียนยังมีชีวิตครอบครัวที่โดดเด่น แม้ว่าในบางครั้งความสัมพันธ์ในครอบครัวจะเป็นปัญหาให้แก่พระนาง ทรงมีพระโอรส 3 พระองค์ซึ่งต่อมาได้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิ และพระนัดดาของพระนางคือ สมเด็จพระจักรพรรดิถังเสวียนจง (จีน唐玄宗พินอินTáng Xuánzōng) แห่งราชวงศ์ถัง กษัตริย์ผู้ปกครองหนึ่งในยุคทองแห่งประวัติศาสตร์จีน[14]

เนื้อหา

  [ซ่อน

พระนาม[แก้]

พระนางบูเช็กเทียน หรืออู่เจ๋อเทียน ทรงมีพระนามเดิมว่า อู่เจ้า (Wu Zhao)[9] (บางครั้งใช้ตัวอักษรจีนว่า "武曌" (พินอิน: Wǔ Zhào) หากว่าตัวอักษรที่ใช้จริงไม่เป็นที่ปรากฏชัด อย่างไรก็ตามคำว่า "เจ้า" ไม่ได้ใช้ตัวอักษร "瞾" เนื่องจากตัวอักษรนี้เป็นอักษรที่มีการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในสมัยของพระนางบูเช็กเทียนเอง) ส่วนแซ่หรือนามสกุลของพระนางคือ "อู่" "ซึ่งยังคงใช้อยู่แม้ว่าจะทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระจักรพรรดิเกาจง ซึ่งอยู่ในราชสกุล หลี่
ต่อมาจักรพรรดิไท่จงทรงพระราชทานพระนามให้แก่พระนางบูเช็กเทียนว่า "เม่ย" (อังกฤษ: Mei; จีน: 媚; พินอิน: Mèi) มีความหมายว่า "น่ารัก"[15] ทำให้ในปัจจุบัน ประชาชนจีนมักเอ่ยพระนามของพระองค์ว่า อู่เหม่ย (Wu Mei) หรืออู่เหม่ยเนียง (อังกฤษ: Wu Meiniang; จีน: 武媚娘; มีความหมายตามตัวอักษรว่า สตรีแซ่อู่ที่มีเสน่ห์) เมื่อกล่าวถึงชีวิตในวัยเยาว์ของพระองค์ และจะใช้ชื่อเรียกพระนามว่า พระนางบู (อังกฤษ: Empress Wu; จีน: 武后) เมื่อกล่าวถึงพระนางในช่วงที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสี (หรือฮองเฮา) และพระพันปี (หรือไทเฮา) แล้ว ส่วนการใช้คำว่า อู่เจ๋อเทียน (อังกฤษ: Wu Zetian; จีน: 武則天) จะใช้เมื่อกล่าวถึงพระองค์ในขณะดำรงพระยศเป็นฮ่องเต้[ต้องการอ้างอิง]

ประวัติ[แก้]

พระราชสมภพ[แก้]

(สำหรับรายนามสมาชิกในครอบครัวของบูเช็กเทียน ดูเพิ่มที่: List of family of Wu Zetian)
ตระกูลอู่มีต้นกำเนิดในเมืองเหวินสุ่ย (อังกฤษ: Wenshui; จีน: 文水) มณฑลปิ้งโจว (อังกฤษ: Bingzhou; จีน: 并州) (ปัจจุบันคือ เขตเหวินสุ่ย (อังกฤษ: Wenshui County) ในมณฑลซานซี) บูเช็กเทียนเกิดในเมืองลี่โจว (อังกฤษ: Lizhou; จีน: 利州) (ปัจจุบันคือ เมืองก่วงหยวน (อังกฤษ: Guangyuan; จีน: 广元) ในมณฑลเสฉวน)[ต้องการอ้างอิง] หรือมิฉะนั้นอาจเป็นที่เมืองฉางอาน (ปัจจุบันคือเมืองซีอาน) ในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจู่ ทรงประสูติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 624[6][16] และสิ้นพระชมน์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 705[6][8]
พระนางบูเช็กเทียนประสูติในปีที่ 7 แห่งรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจู่ โดยปีนั้นเป็นปีที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง (total eclipse of the Sun) ซึ่งสามารถมองเห็นได้ในประเทศจีน บิดาของพระนางคือ อู่ ซึ่อฮั่ว (อังกฤษ: Wu Shihuo; จีนตัวย่อ: 武士彟; จีนตัวเต็ม: 武士彠; พินอิน: Wǔ Shìhuò; 559-635 CE) มีอาชีพเกี่ยวกับการค้าไม้ ซึ่งเป็นเพียงพ่อค้าสามัญชนธรรมดาที่มีฐานะคนหนึ่ง ส่วนมารดาของพระนางนั้นมาจากตระกูลหยางซึ่งเป็นตระกูลที่มีอำนาจมากในสมัยนั้น ในช่วงปีสุดท้ายของรัชสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิสุยหยางหลี่หยวน (อังกฤษ: Li Yuan; จีน: 李淵)  ผู้มีตำแหน่งแม่ทัพขุนนางในราชวงศ์สุย ซึ่งภายหลังกลายเป็นจักรพรรดิถังเกาจู่แห่งราชวงศ์ถังได้เข้าพักอาศัยอยู่ในบ้านของตระกูลอู่ (หรือบู) หลายครั้งจนมีความสนิทสนมกับครอบครัวนี้ หลังจากหลี่หยวนล้มล้างอำนาจของจักรพรรดิสุยหยางได้แล้ว เขาได้ตอบแทนครอบครัวอู่ด้วยเงินทอง เมล็ดพันธุ์พืช ที่ดิน และแพรพรรณเนื้อดีต่าง ๆ เป็นอันมาก และเมื่อสถาปนาราชวงศ์ถังสำเร็จ อู่ซี่อฮั่วได้รับตำแหน่งเสนาบดีอาวุโสและตำแหน่งผู้ครองเมืองหยางโจว ลี่โจว และจิงโจว (อังกฤษ: Jingzhou;จีน: 荊州) ปัจจุบันคือ เขตเจียงหลิง (อังกฤษ: Jiangling County; จีน: 江陵县) ในมณฑลหูเป่ย์ เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิเกาจู่สิ้นพระชมน์ลง พระราชโอรสของพระองค์ คือ เจ้าชายหลี่ซื่อหมิน (อังกฤษ: Li Shi Min; จีน: 李世民; พินอิน: Lǐ shì min) จึงขึ้นครองราชย์ต่อเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิถังไท่จงนั่นเอง
พระราชมารดาของพระนางบูเช็กเทียนนั้นเดิมทรงเป็นเชื้อสายพระราชวงศ์สุย (隋朝) ซึ่งปกครองประเทศจีนมาก่อนราชวงศ์ถัง ซึ่งท่านหญิงหยาง พระราชมารดาของพระนางบูเช็กเทียนนั้นเดิมเป็นพระนัดดาของกวนหวัง (จีน: 关王; พินอิน: Guān wáng) หรือพระนามเดิม หยางสง ซึ่งเป็นพระญาติสนิทของสมเด็จพระจักรพรรดิสุยหยางตี้ (พระนามจริงว่า หยางกว่าง) จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์สุย จึงนับได้ว่าท่านหญิงหยางเป็นผู้เกิดในชาติตระกูลสูง หากราชวงศ์สุยมิได้ล่มสลายลงไปเสีย อู่ซึ่อฮั่วคงมิได้มีโอกาสพบองค์หญิงหยาง แต่เมื่อราชวงศ์สุยล่มสลายไป องค์หญิงหยางจึงจำต้องหาที่พึ่งพิง สตรีในยุคนั้นมีทางเลือกไม่มากนัก เนื่องจากขณะนั้นพระองค์เป็นเพียงสมาชิกราชวงศ์ที่ตกยาก ซึ่งอู่ซึ่อฮั่วเองก็ต้องการที่หาภริยาที่จะมาส่งเสริมเชิดชูเกียรติตนเองเช่นกัน โดยเฉพาะในยามที่ต้องออกสังคมกับพวกขุนนาง ซึ่งก็มักจะเป็นผู้เกิดในตระกูลสูงเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นองค์หญิงเชื้อสายราชวงศ์สุยอย่างองค์หญิงหยางจึงเป็นที่หมายปองของอู่ซึ่อฮั่วเป็นอย่างมาก เมื่อความต้องการของทั้งสองฝ่ายตรงกัน องค์หญิงหยางจึงทรงสมรสกับอู๋ซึ่อฮั่ว (โดยมีฐานะเป็นภริยาคนที่สอง เนื่องจากอู่ซึ่อฮั่วมีภริยาคนแรกอยู่แล้วเป็นหญิงสามัญชน) และถูกเรียกขานนามว่าท่านหญิงหยาง นับแต่นั้นมา แม้จะเป็นภริยาคนที่ 2 แต่ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์เก่ามาก่อนท่านหญิงหยางจึงเป็นที่รักและยกย่องของอู๋ซึ่อฮั่วอย่างมาก ทำให้ภริยาคนแรกกับบุตรชายทั้ง 2 ที่เกิดกับภริยาคนแรกไม่ชอบใจท่านหญิงหยางและเกิดเหตุกระทบกระทั่งทำร้ายจิตใจกันตลอดมา[17]
ครั้นต่อมาเมื่อท่านหญิงหยางได้ให้กำเนิดทารกน้อยบูเช็กเทียน ได้มีเรื่องเล่ากันว่ามีโหรใหญ่คนหนึ่งชื่อหยวนเทียนกังมาเห็นทารกน้อยบูเช็กเทียนที่น่ารักคนนี้ และนึกว่าเป็นเด็กชายจึงออกปากทักไปว่า เด็กคนนี้ถ้าหากเป็นหญิงล่ะก็ ต่อไปจะได้เป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดินจีนเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้นเมื่อบูเช็กเทียนได้เข้าวังไปแล้ว โหราจารย์แห่งราชสำนักยังได้พยากรณ์สำทับอีกว่า ต่อไปสตรีแซ่อู่จะมีอำนาจขึ้นล้มราชวงศ์ถัง

พงศาวดี[แก้]

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
อู่ จู่ฉาง
 
 
 
 
 
 
 
อู่ เจี้ยน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
หลิว
 
 
 
 
 
 
 
อู่ หัว
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ซ่ง
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
อู่ ฉี้โหว อ๋องแห่งแคว้นอิ้ง
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
เจา
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
อู่ เจ๋อเทียน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
หยัง เฉา
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
หยัง ต้า
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ท่านหญิงหยัง
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

วัยพระเยาว์[แก้]

บูเช็กเทียนเกิดในตระกูลร่ำรวย มีคนรับใช้ที่คอยช่วยเหลือเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้ไม่เคยเรียนรู้งานในบ้านใด ๆ บิดาของนางสนับสนุนให้นางอ่านหนังสือและศึกษาเล่าเรียนหนังสือแทน ซึ่งแตกต่างจากบิดาที่มีบุตรสตรีคนอื่น ๆ ในยุคนั้นเป็นอย่างมาก และบูเช็กเทียนเองก็มิได้เป็นสตรีประเภทที่สามารถนั่งเงียบ ๆ ทำงานเย็บปักถักร้อย หรือดื่มชาทั้งวันได้ นางจึงตั้งใจเล่าเรียนวิชาต่าง ๆ มากมาย อาทิ วิชาด้านการเมืองและการปกครอง การเขียน วรรณกรรม และดนตรี เป็นต้น นางเติบโตขึ้นพร้อมกับการเรียนรู้มากมายที่บิดาของนางเป็นผู้สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เมื่ออายุได้ 14 ปี จึงถูกส่งเข้าถวายตัวเป็นนางสนมของสมเด็จพระจักรพรรดิถังไท่จง
เมื่อพระนางอายุได้ 14 ปี ได้ถูกส่งเข้าถวายตัวเป็นพระสนมของจักรพรรดิถังไท่จง และที่นี่เองที่พระนางเริ่มรับหน้าที่ฝ่ายในในตำแหน่งคล้ายเลขานุการ ซึ่งทำให้พระนางได้สานต่อด้านการศึกษาอีกครั้ง
ในรัชกาลของสมเด็จพระจักรพรรดิถังไท่จงนั้น พระอัครมเหสี หรือ พระจักรพรรดินี หรือ หวงโฮ่ว (จีน: 皇后; พินอิน: Huánghòu) คือสมเด็จพระจักรพรรดินีฉางซุน (จีน: 长勋皇后; พินอิน: Zhǎng xūn huánghòu; พระนางทรงมีแซ่ 2 พยางค์คือ ฉางซุน หรือ จ่างซุน ส่วนพระนามคือ อู่เต๋อ) ทรงเป็นพระชนนีของพระราชโอรสทั้ง 3 พระองค์ของจักรพรรดิถังไท่จง ในเวลาต่อมาเจ้าชายหลี่เฉิงเฉียน พระราชโอรสพระองค์แรกผู้ดำรงตำแหน่งรัชทายาท (จีน: 皇太子; พินอิน: Huáng tàizǐ) กับพระราชโอรสองค์ต่อมาคือ เจ้าชายหลี่ไท่ ซึ่งมีความขัดแย้งต่อกันมานาน เนื่องจากเจ้าชายหลี่ไท่ทรงมีความต้องการที่จะเป็นรัชทายาท แต่ด้วยความที่พระองค์มิได้ทรงเป็นพระราชโอรสองค์แรก พระองค์ยังทรงทราบด้วยอีกว่าองค์รัชทายาท เจ้าชายหลี่เฉีงเฉียนนั้นเป็นพวกรักร่วมเพศ จึงทรงพยายามทุกทางที่จะกำจัดพระเชษฐาของพระองค์เองให้ได้ โดยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจ้าชายหลี่เฉิงเฉียนองค์รัชทายาทเกือบจะถูกจักรพรรดิไท่จงพระบิดาจะจับได้แล้วว่าพระองค์นั้นทรงเป็นพวกรักร่วมเพศ หากแต่หลักฐานไม่เพียงพอ จักรพรรดิไท่จงจึงทรงเลือกที่จะเชื่อพระราชโอรสของพระองค์มากกว่า และโปรดให้ประหารชีวิตขันทีคนสนิทซึ่งเป็นคู่รักขององค์รัชทายาทเสีย แต่ไม่ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปลดเจ้าชายหลี่เฉิงเฉียนจากรัชทายาทแต่อย่างใด ต่อมาองค์รัชทายาทวางแผนกบฏเพื่อรวบอำนาจมาไว้ที่ตนเองแต่ผู้เดียว เพื่อเป็นการกำจัดเจ้าชายหลี่ไท่พระอนุชาด้วย แต่แผนการรั่วไหลเสียก่อน ในครั้งนี้จักรพรรดิไท่จงไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ปลดเจ้าชายหลี่เฉิงเฉียน จากตำแหน่งองค์รัชทายาทลงเป็นสามัญชน แล้วจึงเนรเทศไปอยู่ตำบลในเขตชายแดน หลี่เฉิงเฉียนอยู่ได้อีกไม่นานก็ถึงแก่กรรมที่ตำบลชายแดนนั้นเอง ส่วนเจ้าชายหลี่ไท่ พระราชโอรสองค์ต่อมาก็พลาดหวังจากตำแหน่งรัชทายาท โดยตำแหน่งองค์รัชทายาทกลับไปตกอยู่กับเจ้าชายหลี่จื้อ (อังกฤษ: Li Zhi; จีน: 李治; พินอิน: Lǐ zhì) พระราชโอรสพระองค์เล็กของสมเด็จพระจักรพรรดิถังไท่จง และเป็นพระอนุชาของเจ้าชายหลี่ไท่นั่นเอง ด้วยจักรพรรดิไท่จงทรงมีพระราชดำริเองว่าพระราชโอรสพระองค์รองนั้นเป็นผู้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยม แม้จะมีความสามารถเหนือกว่าแต่ก็ไม่สมควรได้ครองแผ่นดิน ส่วนพระราชโอรสพระองค์เล็กนั้นแม้จะไม่เข้มแข็งเด็ดขาด แต่ก็มีพื้นฐานจิตใจค่อนไปทางฝ่ายดีงาม การตัดสินพระทัยของสมเด็จพระจักรพรรดิถังไท่จงครั้งนี้เป็นการพลิกโฉมประวัติศาสตร์จีนในอีกไม่นานนับจากนั้น
ต่อมาไม่นานใน ปึ ค.ศ. 649 สมเด็จพระจักรพรรดิถังไท่จงทรงเสด็จสวรรคต เจ้าชายหลี่จื้อซึ่งเป็นองค์รัชทายาทได้เสด็จขึ้นครองราชย์แทน และทรงพระนามว่าสมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจง (จีน: 唐高宗皇帝; พินอิน: Tánggāozōng huángdì; ครองราชย์ปี ค.ศ. 649 - 683) เป็นรัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์ถังนับจากองค์ปฐมจักรพรรดิถังเกาจู่เป็นต้นมา โดยทรงมีอัครชายาที่พระราชบิดาทรงพระราชทานอภิเษกสมรสให้มาแต่เดิม พระอัครชายาพระองค์นี้จึงได้ครองพระราชอิสริยยศสมเด็จพระอัครมเหสี ออกพระนามว่าจักรพรรดินีหวัง (จีน: 王皇后; พินอิน: Wáng huánghòu) ด้วยพระนางทรงมีพระนามเดิมว่า หวัง (王姓)[17]

นางสนมของสมเด็จพระจักรพรรดิถังไท่จง[แก้]

เมื่อพระนางบูเช็กเทียนเข้ามาเป็นนางสนมโดยการอยู่กินด้วยกันโดยไม่ได้สมรส ของสมเด็จพระจักรพรรดิถังไท่จง (ราวปี ค.ศ. 636 ถึง 638) และได้รับยศเป็น "ไฉเหริน" (อังกฤษ: cairen; จีน: 才人; พินอิน: Cái rén) ซึ่งเป็นตำแหน่งนางสนมระดับที่ 5 ในระบบ 9 ขั้นของข้าราชการ ชนชั้นสูง และนางสนม ในราชสำนักแห่งราชวงศ์ถัง (Tang's nine-rank system)[15][18] โดยครั้งเมื่อพระนางถูกส่งตัวเข้าวังนั้น ท่านหญิงหยางผู้เป็นมารดาร้องไห้คร่ำครวญอย่างขมขื่นกับโชคชะตาของพระนาง หากแต่บูเช็กเทียนได้กล่าวกับมารดาของพระนางว่า "ท่านรู้ได้อย่างไรว่านี้มิใช่โชคของข้าพเจ้าที่ได้พบกับพระโอรสแห่งสวรรค์ (Son of Heaven)" เมื่อได้เข้าใจในความทะเยอทะยานของพระนาง ท่านหญิงหยางจึงได้หยุดร้องไห้
อย่างไรก็ตามพระนางบูเช็กเทียนมิได้เป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิไท่จงนัก แม้ว่าพระนางจะเคยได้เข้ารับใช้พระองค์ในฐานะนางสนม (มีความสัมพันธ์ทางเพศ)[19] ในช่วงที่พระนางบูเช็กเทียนเป็นนางสนมอยู่นั้น ได้แสดงนิสัยอันเด็ดเดี่ยวกล้าหาญจนทำให้จักรพรรดิไท่จงเกิดความประทับใจ ในเวลานั้นจักรพรรดิถังไท่จงทรงมีม้าชื่อ "สิงโตป่า (Lion Stallion)" ที่มีลักษณะดุดันและแข็งแรงมาก ไม่มีผู้ใดสามารถขึ้นนั่งฝึกม้าตัวนี้ได้ พระนางบูเช็กเทียนซึ่งเข้ารับใช้เป็นนางสนองพระโอษฐ์อยู่ได้เสนอกับจักรพรรดิถังไท่จงว่าตนสามารถปราบม้าตัวนี้ได้ โดยใช้ของสามสิ่ง คือ แส้เหล็ก ค้อน และกริช โดยจะใช้แส้เหล็กเฆี่ยนมันก่อน ถ้าม้านั้นไม่ยอมเชื่อฟัง ก็จะใช้ค้อนตีหัวม้า หากยังไม่ยอมอีก ก็จะเอากริชเชือกคอมันให้ตายลงเสีย[20] องค์จักรพรรดิถังไท่จงได้สดับฟังคำแนะนำของพระนางแล้วชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวของบูเช็กเทียนมาก[20] หากแต่พระองค์ก็รู้สึกตกใจมาก และมีความรู้สึกลึก ๆ กว่านางสนมที่เคร่งครัดถือตัวไม่ควรพูดจาแบบนี้ แต่เจ้าชายหลี่จื้อ (อังกฤษ: Li Zhi; จีน: 李治; พินอิน: Lǐ zhì) ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทในขณะนั้นกลับติดใจและหลงรักบูเช็กเทียนที่มีอายุมากกว่าเขา 4 ปี
ในระหว่างนี้บูเช็กเทียนก็ได้แอบลักลอบมีความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาท ซึ่งเป็นพระโอรสองค์สุดท้ายของจักรพรรดิไท่จง คือ เจ้าชายหลี่จื้อ แต่ความสัมพันธ์นี้มีอันต้องหยุดลงเมื่อจักรพรรดิไท่จงสิ้นพระชมน์ลงในปี ค.ศ. 649 เจ้าชายหลี่จื้อ ซึ่งมีพระมารดาพระนามว่า "เหวิ๋นเต์อ (Wende)" เป็นพระมเหสีเอกของจักรพรรดิไท่จง ได้สืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อโดยมีพระนามว่า สมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจง (อังกฤษ: Emperor Tanggaozong; จีน: 唐高宗皇帝; พินอิน: Tánggāozōng huángdì; ครองราชย์ปี ค.ศ. 649 - 683)

บวชเป็นภิกษุณี (Consigned to the convent)[แก้]

จักรพรรดิไท่จงทรงมีพระโอรสทั้งหมด 14 พระองค์ โดยมี 3 พระองค์เป็นพระโอรสในพระมเหสีเอก คือ พระนางเหวิ๋นเต๋อ (อังกฤษ: Empress Wende; จีน: 文德皇后; พินอิน: Wén dé huánghòu; 601–636) แต่พระองค์มิได้มีพระโอรสกับพระสนมบูเช็กเทียน[21] ตามพระราชประเพณีโบราณของราชสำนัก หากพระมเหสีหรือนางสนมคนใดไม่มีพระโอรสหรือพระธิดากับพระมหากษัตริย์ และเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลง พระมเหสีและนางสนมเหล่านั้นจะต้องออกจากราชสำนักและบวชเข้าสำนักสงฆ์ตลอดชีวิต พระนางบูเช็กเทียนจึงถูกส่งตัวไปยังวัดก่านเย่ (อังกฤษ: Ganye Temple; จีน: 感業寺) เพื่อบวชเป็นภิกษุณีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ (บางส่วนอ้างว่าเป็นเพราะจักรพรรดิไท่จงทรงทราบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบูเช็กเทียนกับพระราชโอรสของพระองค์ แต่ด้วยความเสน่หาในความงามของบูเช็กเทียน พระองค์จึงไม่ทรงสั่งประหารชีวิต แต่หากให้บูเช็กเทียนไปบวชแทน)
พระนางบูเช็กเทียนต้องพลัดพรากจากวังไปนานถึงสองปี จึงได้มีโอกาสได้พบกับสมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจงอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์ทรงเดินทางไปยังวัดก่านเย่ที่พระนางบูเช็กเทียนบวชอยู่ ในช่วงเวลานี้เองที่พระมเหสีของจักรพรรดิถังเกาจงทรงแอบเห็นว่าทั้งสองมีความผูกพันต่อกัน จึงชักชวนให้บูเช็กเทียนเข้ามาเป็นนางสนมเอกแทนที่นางสนมเอกแซ่เซียว ซึ่งมีความขัดเคืองกันอยู่และไม่ต้องพระทัยของพระมเหสีของจักรพรรดิถังเกาจงนัก

การขึ้นสู่อำนาจ[แก้]

ในราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 650 พระนางบูเช็กเทียนได้กลับเข้าวังอีกครั้งในฐานะพระสนมของสมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจง พระราชโอรสของจักรพรรดิถังไท่จง ได้รับยศเป็น เจาหยี (อังกฤษ: Zhaoyi; จีน: 昭儀) ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในบรรดาศักดิ์เก้าชั้นของนางสนม ทำให้พระนางมีอำนาจและอิทธิพลในการบริหารราชการเป็นอย่างมากในช่วงตลอดรัชสมัยของจักรพรรดิถังเกาจง และได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผู้มีความทะเยอทยานในอำนาจเป็นอย่างมาก มีนักประวัติศาสตร์จีนโบราณบางคนเชื่อว่าพระนางบูเช็กเทียนเป็นผู้สังหารพระธิดาของพระนางเองเพื่อใส่ร้ายและโยนความผิดให้แก่จักรพรรดินีหวัง (อังกฤษ: Empress Wang; จีน: 王皇后; พินอิน: Wáng huánghòu) (ผู้เป็นพระอัครมเหสีในสมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจง) ในการก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วย

จากสำนักภิกษุณีกลับมาเป็นนางสนมอีกครั้ง[แก้]

สมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจงทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ในขณะที่ทรงมีพระชมน์มายุเพียง 21 ปี ทรงเป็นผู้ด้อยประสบการณ์และความสามารถ ประกอบกับมีสุขภาพที่อ่อนแเอ[12]หากทรงได้รับการแต่งตั้งจากพระราชบิดาจักรพรรดิถังเกาจงให้ทรงเป็นองค์รัชทายาทเนื่องจากความอัปยศของพระเชษฐาทั้งสองของพระองค์[21]
สมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจงนั้นทรงเป็นผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอหากแต่มีจิตใจที่ดี แม้ว่าพระองค์จะค่อนข้างไปทางหูเบาและฝักใฝ่ในกามารมณ์ ไม่นานหลังจากขึ้นครองราชย์พระองค์ทรงหลงใหลและโปรดปรานในตัวพระสนมเซียว (แซ่เซียว นามว่าฮุ่ยจือ ซึ่งเดิมเป็นสตรีสามัญชน) (อังกฤษ: Consort Xiao; จีน: 宵恕妃; พินอิน: Xiāo shù fēi) อย่างมาก จนต่อมาในภายหลังถึงกับโปรดเกล้าฯให้สถาปนานางขึ้นเป็นพระมเหสีลำดับที่ 3 ออกพระนามว่า พระมเหสีเซียว 
จักรพรรดินีหวังทรงตระหนักดีว่าพระราชสวามีโปรดปรานพระสนมเซียวมาก จนทรงกลัวว่าจะส่งผลถึงฐานะของพระนาง ซึ่งก็เป็นความจริงดังที่องค์จักรพรรดินีทรงกังวล เพราะไม่นานต่อมาพระสนมเซียวก็ทรงพระครรภ์และให้พระประสูติการพระราชกุมารพระองค์น้อยที่มีสุขภาพแข็งแรง ทรงพระนามว่า เจ้าฟ้าชายหลี่ซู่เจี๋ย (Li Sujie) และธิดา 2 พระองค์ คือ เจ้าหญิงยี่หยาง (Yiyang) และเจ้าหญิงซวนเฉิง (Xuancheng) แก่จักรพรรดิเกาจง องค์จักรพรรดิทรงปีติยินดีอย่างยิ่ง ถึงกับโปรดเกล้าฯให้สถาปนาพระราชโอรสพระองค์น้อยขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งรัฐสี่ (喜王) ตั้งแต่แรกประสูติทีเดียว และยังมีพระราชปรารภว่าจะให้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทอีกด้วย พระอัครมเหสีหวังทรงตื่นตกใจมากและได้พยายามใช้กุศโลบายทุกทางจนสามารถเปลี่ยนพระทัยสมเด็จพระจักรพรรดิเกาจงให้สถาปนาพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในบรรดาพระราชโอรสทั้งหมด คือ พระองค์เจ้าชายหลี่จง กษัตริย์แห่งรัฐเอี้ยน (燕王) ซึ่งมีพระมารดาเป็นเพียงพระสนม คือพระสนมหลิว ซึ่งเป็นพระญาติกับพระจักรพรรดินีหวังทางฝ่ายพระมารดาให้เป็นองค์รัชทายาทแทนได้สำเร็จ ทำให้พระสนมเซียวโกรธแค้นอย่างยิ่ง
ในระหว่างพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระจักรพรรดิถังไท่จง[22] จักรพรรดิเกาจงทรงเข้าออกวัดก่านเย่ (Ganye Temple) เพื่อทรงจุดธูปบูชาพระบรมศพพระราชบิดา ทำให้พระองค์ได้พบกับพระนางบูเช็กเทียนอีกครั้ง ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิเกาจงและพระนางบูเช็กเทียนผู้เคยเป็นที่ทรงปฏิพัทธิ์มาตั้งแครั้งรัชกาลก่อนนั้นอยู่ในสายพระเนตรของพระจักรพรรดินีหวัง[23] พระจักรพรรดินีหวังผู้ซึ่งไม่ได้เป็นที่โปรดปรานแห่งองค์จักรพรรดินัก ด้วยพระองค์ทรงโปรดพระสนมเซียวมากกว่า ดังนั้นเมื่อจักรพรรดินีหวังเห็นว่าสมเด็จพระจักรพรรดิเกาจงยังมีความสนใจและประทับใจในความงามของบูเช็กเทียนอยู่ จักรพรรดินีหวังจึงวางแผนให้รับพระนางบูเช็กเทียนกลับเข้าสู่ราชสำนักอีกครั้งในฐานะพระสนมอีกคนหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อดึงความสนใจของจักรพรรดิเกาจงจากพระสนมเซียวเสีย
หลังจากพระนางบูเช็กเทียนออกจากวัดเพื่อกลับเข้าสู่ราชสำนักในฐานะของพระสนมของจักรพรรดิเกาจงอีกครั้ง (แม้ว่าสมเด็จพระจักรพรรดิเกาจงจะมีฐานะเป็นลูกเลี้ยงของพระนาง นอกจากนั้นยังมีผู้เชื่อว่าพระนางเคยมีเพศสัมพันธ์กับจักรพรรดิไท่จงผู้วายชมน์แล้ว จึงกล่าวได้ว่าเป็นการร่วมประเวณีกับญาติสนิท[19][24])
พระจักรพรรดินีหวังทรงคิดว่าเพียงแต่จะชักนำพระนางบูเช็กเทียนเข้ามาสู่ราชสำนักอีกครั้งเพื่อดึงความสนพระทัยของจักรพรรดิเกาจงออกจากพระมเหสีเซียวเท่านั้น พอกำจัดพระมเหสีเซียวไปได้แล้วก็จะค่อยกำจัดบูเช็กเทียนในภายหลัง จึงไม่ทรงขัดขวางเมื่อพระราชสวามีมีพระราชดำริจะรับพระนางบูเช็กเทียนเข้าวังในอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้พระนางบูเช็กเทียนไม่ได้ดำรงฐานะเป็นเพียงพระสนมธรรมดาเหมือนในรัชกาลก่อน หากแต่ได้รับการโปรดเกล้าฯให้เป็นถึง "เจายี่" หรือ พระสนมเอกลำดับ 1 (จีน: 昭宜; พินอิน: Zhāo yí) จากบรรดาพระสนมเอกของจีนซึ่งมีทั้งหมด 9 ชั้น นับว่าเป็นที่ 3 ในวังรองจากสมเด็จพระจักรพรรดินีหวัง และพระสนมเซียวทีเดียว ซึ่งพระนางบูเช็กเทียนพระสนมเอกก็ไม่ทำให้องค์จักรพรรดินีหวังทรงผิดหวัง เพราะหลังจากนั้นไม่นานจักรพรรดิเกาจงก็ทรงลืมพระมเหสีเซียวไปเสียสนิท

พระโอรส[แก้]

ปี ค.ศ. 652 พระนางบูเช็กเทียนทรงให้กำเนิดพระโอรส คือ หลี่หง (Li Hong) และต่อมาในปี ค.ศ. 653 พระนางก็ได้ให้กำเนิดพระโอรสอีกพระองค์หนึ่ง คือ หลีเสียน (อังกฤษ: Li Xian; จีน: 李賢; พินอิน: Li Xián หรือ อังกฤษ: Crown Prince Zhanghuai; จีน: 章懷太子; ค.ศ. 653–684) ซึ่งทั้งสองพระองค์ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิเกาจง เนื่องจากสมเด็จพระจักรพรรดินีหวังและพระปิตุลาของพระนาง คือ อัครมหาเสนาบดีหลิวซื่อ (the chancellor Liu Shi) ทรงเกลี้ยกล่อมให้จักรพรรดิเกาจงทรงแต่งตั้งพระโอรสพระองค์โต คือ เจ้าชายหลี่จง (อังกฤษ: Li Zhong; จีน: 李忠; พินอิน: Lǐ zhōng; ค.ศ. 643 – 6 มกราคม ค.ศ. 665) ซึ่งถือกำเนิดจากพระสนมหลิวเป็นองค์รัชทายาทไปก่อนหน้าแล้ว

ข้อกล่าวหาต่อพระนางบูเช็กเทียน[แก้]

เมื่อมีโอกาสพระสนมบูเช็กเทียนก็ไม่รอช้าที่จะกำจัดพระจักรพรรดินีหวังออกไปเสียก่อนที่ตนเองจะเป็นฝ่ายถูกกำจัดออกไปแทน โดยมีเรื่องที่บันทึกไว้มีว่า ในปี ค.ศ. 654 พระสนมบูเช็กเทียนมีพระประสูติกาลพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง เมื่อพระจักรพรรดินีหวังเสด็จไปทรงเยี่ยมเจ้าหญิงพระราชธิดาองค์น้อยซึ่งยังมีพระชนม์ไม่ถึงเดือน นัยว่าเสด็จไปทรงเยี่ยมตามราชประเพณีในฐานะที่ทรงเป็นพระมารดาเลี้ยง และเพื่อแสดงว่าทรงมีพระมหากรุณาต่อเจ้าหญิงน้อยดุจพระมารดาแท้ๆ แต่กลับเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด คือเจ้าหญิงพระองค์น้อยเสด็จสิ้นพระชนม์อย่างกระทันหันในวันเดียวกันนั้นเอง ซึ่งพระสนมบูเช็กเทียนได้กล่าวหาพระจักรพรรดินีหวังว่าเป็นสาเหตุที่พระราชธิดาน้อยสิ้นพระชนม์[12] ข้อกล่าวหาในครั้งนี้พระจักรพรรดินีหวังไม่อาจแก้ตัวใด ๆ ได้ เนื่องจากพระจักรพรรดินีเป็นผู้ที่อยู่กับเจ้าหญิงน้อยเป็นพระองค์สุดท้ายก่อนที่เจ้าหญิงน้อยจะสิ้นพระชนม์ นับว่าพระจักรพรรดินีทรงชักศึกเข้าบ้านโดยแท้[17]
จักรพรรดิเกาจงทรงเชื่อในข้อกล่าวหาว่าพระจักรพรรดินีหวังเป็นผู้ปลงพระชนม์พระราชธิดาองค์น้อยเนื่องจากความอิจฉาริษยา โดยพระจักรพรรดินีหวังก็ไม่อาจหาหลักฐานใด ๆ มาแก้ข้อกล่าวหานี้ได้ พระจักรพรรดิถังเกาจงจึงทรงพระพิโรธและรับสั่งให้ถอดยศและขับไล่พระจักรพรรดินีหวังออกจากราชสำนัก โดยจะทรงแต่งตั้งพระสนมบูเช็กเทียนขึ้นเป็นพระจักรพรรดินีแทน แต่พระองค์ต้องการให้คณะเสนาบดีเห็นชอบกับรับสั่งในครั้งนี้ด้วย พระจักรพรรดิเกาจงพร้อมด้วยพระสนมบูเช็กเทียนจึงได้เสด็จไปเยี่ยมบ้านของพระมาตุลาของพระจักรพรรดิเกาจง คือ ฉางซุนอู๋จี้ (Zhangsun Wuji) มหาเสนาบดี ทั้งได้พระราชทานทรัพย์สมบัติให้แก่ฉางซุนอู๋จี้เป็นอันมาก และเมื่อพระจักรพรรดิเกาจงทรงนำเรื่องที่อดีตพระจักรพรรดินีหวังไม่มีพระราชโอรสธิดาให้แก่พระองค์มาเป็นข้ออ้างในการขับไล่พระนาง ฉางซุนอู๋จี้ก็บ่ายเบี่ยงที่จะตอบสนองพระราชดำรัสนั้น ต่อมามารดาของพระสนมบูเช็กเทียน สตรีสกุลหยาง พร้อมทั้งซูจิงจง (Xu Jingzong) ผู้เป็นฝ่ายเดียวกับพระสนมบูเช็กเทียนได้เยี่ยมฉางซุนอู๋จี้อีกครั้งเพื่อให้ขอเขาสนับสนุนการตัดสินพระทัยของพระจักรพรรดิเกาจง แต่ก็ยังไม่เป็นผล[25]
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าพระจักรพรรดินีหวังหรือพระสนมบูเช็กเทียนเป็นผู้ทำร้ายพระราชธิดาพระองค์น้อย เนื่องจากไม่สามารถหาหลักฐานที่ชัดเจนมายืนยันได้ว่าพระราชธิดาทรงสิ้นพระชนม์ด้วยสาเหตุใดแน่ มีความเป็นไปได้ว่าพระสนมบูเช็กเทียนอาจเป็นผู้สังหารพระราชธิดาของตัวเองแล้วใส่ร้ายพระจักรพรรดินนีหวัง แต่ก็อาจเป็นไปได้เช่นกันว่าพระจักรพรรดินีหวังเป็นผู้สังหารพระราชธิดาเองเนื่องจากความอิจฉาริษยาที่พระจักรพรรดิเกาจงทรงโปรดปรานพระสนมบูเช็กเทียนมาก หรืออาจไม่มีผู้ใดเป็นผู้ทำร้ายพระราชธิดา แต่สิ้นพระชนม์จากการสาเหตุธรรมชาติอื่น ๆ เช่น กลุ่มอาการทารกตายกะทันหัน (asphyxiation) อาหารเป็นพิษ สำลักอาหาร เป็นต้น

ถอดพระยศพระจักรพรรดินีหวังและพระมเหสีเซียวซูเฟย[แก้]

ช่วงฤดูร้อน ปี ค.ศ. 655 พระสนมบูเช็กเทียนได้ใส่ร้ายพระจักรพรรดินีหวังและ พระมารดาของพระจักรพรรดินี คือหลิวฮูหยินอีกครั้งว่าทั้งสองใช้คาถาอาคมไสยศาสตร์ พระจักรพรรดิเกาจงจึงมีรับสั่งให้ห้ามหลิวฮูหยินไม่ให้เข้าวังอีกต่อไป และยังปลด หลิวซื่อ (Liu Shi) พระมาตุลาของพระมเหสีหวังด้วย[25] ในขณะเดียวกันเหล่าข้าราชการในราชสำนักก็เริ่มเข้าเป็นพวกกับพระสนมบูเช็กเทียนมากขึ้น มีทั้ง ซู จิงจง (Xu Jingzong) หลี่ ยีฟู (Li Yifu) ซุย อี้สวน (อังกฤษ: Cui Yixuan; จีน: 崔義玄; พินอิน: Cuī Yìxuán) และหยวน กงหยู๋(อังกฤษ: Yuan Gongyu ; จีน: 袁公瑜; พินอิน: Yuán gōngyú)
เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงในปีนั้น พระจักรพรรดิเกาจงทรงเรียกประชุมเสนาบดี อันมีอัครมหาเสนาบดีฉางซุนอู๋จี้ และเสนาบดีหลี่จี (Li Ji) หยู๋ จือหนิง (Yu Zhining) และ ฉู่ ซุ่ยเหลียง(Chu Suiliang) เข้าประชุม โดยฉู่ซุ่ยเหลียงคาดเดาไว้ว่าจะเป็นเรื่องการถอดพระอิสริยยศพระจักรพรรดินีหวัง หลี่จีปฏิเสธการเข้าร่วมโดยอ้างอาการป่วย ในที่ประชุม ฉู่ซุ่ยเหลียงนั้นทักท้วงการถอดพระอิสริยยศครั้งนี้อย่างรุนแรง ในขณะที่ฉางซุนอู๋จี้ และหยู๋จือหนิง นั้นไม่เห็นด้วยกับพระจักรพรรดิเกาจงด้วยการไม่แสดงความเห็น ในขณะเดียวกัน ฮานหยวน (Han Yuan) และ ไหลจี (Lai Ji) ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับการถอดพระอิสริยยศนี้ ทำให้พระจักรพรรดิเกาจงรับสั่งถามไปยังหลี่จีอีกครั้งหนึ่ง โดยหลี่จีตอบว่า "สิ่งนี้เป็นเรื่องในบ้านของพระองค์เอง ใยจึงถามบุคคลภายนอก" เมื่อได้ยินดังนั้น พระจักรพรรดิเกาจงจึงได้ข้อสรุปที่จะทำตามพระประสงค์ของพระองค์เอง และทรงปลดเสนาบดีฉู่ซุ่ยเหลียงจากราชสำนัก ไปเป็นผู้ว่ามณฑลถั่น (ปัจจุบันคือบริเวณฉางชาในมณฑลหูหนาน)[25] เมื่อทรงถอดพระยศพระจักรพรรดินีหวังลงเป็นสามัญชน ให้เรียกว่านางหวัง (王氏) พร้อมกันนี้ก็โปรดให้ถอดยศพระมเหสีเซียวซูเฟยลงเป็นนางเซียว (宵氏) แล้ว ทรงยังสั่งให้คุมขังทั้งสองคนไว้ แล้วทรงมีพระราชโองการสั่งให้แต่งตั้งพระสนมบูเช็กเทียนขึ้นเป็นพระจักรพรรดินีแทน ภายหลังต่อมาพระจักรพรรดินีบูเช็กเทียนก็สั่งให้สังหารนางหวังและนางเซียวเสมือนถูกฆาตกรรมอย่างโหดร้ายและเงียบเชียบเนื่องจากทรงเห็นว่าพระจักรพรรดิเกาจงมีพระราชประสงค์ให้ปล่อยตัวนางทั้งสอง โดยต่อมาพระจักรพรรดินีบูเช็กเทียนก็ทรงฝันร้ายว่าถูกหลอกหลอนโดยนางทั้งสองอยู่หลายครั้ง

ขึ้นสู่ตำแหน่งพระอัครมเหสี[แก้]

ต่อมาในช่วงปลายปี ค.ศ. 655 พระนางบูเช็กเทียนได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นพระอัครมเหสี หรือ หฺวังโฮ่ว (ตามสำเนียงจีนกลาง) หรือ ฮองเฮา (ตามสำเนียงฮกเกี้ยน)

แต่งตั้งรัชทายาทพระองค์ใหม่[แก้]

ปี ค.ศ. 656 ด้วยคำแนะนำของซูจิงจง สมเด็จพระจักรพรรดิเกาจงทรงถอดพระยศพระโอรสที่ประสูติจากพระสนมหลิว คือ เจ้าชายหลี่จง จากตำแหน่งองค์รัชทายาทไปเป็นเจ้าชายแห่งเหลียง (Prince of Liang) แลัวแต่งตั้งให้หลี่หง พระโอรสอันเกิดจากพระจักรพรรดินีบูเช็กเทียนซึ่งในขณะนั้นดำรงพระยศเป็นเจ้าชายแห่งไต๊ (Prince of Dai) ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท (Heir Apparent) แทน[26]

เริ่มกำจัดเสนาบดีฝ่ายตรงข้าม[แก้]

ในปี ค.ศ. 657 จักรพรรดินีบูเช็กเทียนพวกพ้องของพระนางในราชสำนักได้เริ่มตอบโต้กับเหล่าข้าราชการและเสนาบดีที่เคยต่อต้านเมื่อครั้งที่พระนางขึ้นสู่อำนาจ โดยทรงเริ่มจากให้ซูจิงจงและหลี่ยีฟูผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีแล้วในเวลานั้น ใส่ร้ายกล่าวหาฮานหยวนและไหลจีว่าคบคิดกับฉู่ซุ่ยเหลียงในการก่อกบฏ ทั้งสามคนนี้ รวมทั้งหลิวซื่อ ถูกลดตำแหน่งไปเป็นเจ้าเมืองในพื้นที่ห่างไกล ทั้งยังถูกห้ามไม่ให้กลับมายังเมืองหลวงฉางอันอีกต่อไป และในปี ค.ศ. 659 จักรพรรดินีบูเช็กเทียนรับสั่งให้ซูจิงจงกล่าวหาฉางซุนอู๋จี้ว่าวางแผนก่อการกบฏร่วมกับข้าราชการชั้นผู้น้อยชื่อ เว่ยจี้ฟาง (อังกฤษ: Wei Jifang; จีน: 韋季方; พินอิน: Wéijìfāng) และหลี่เฉา (อังกฤษ: Li Chao; จีน: 李巢; พินอิน: Lǐ cháo) ทำให้ฉางซุนอู๋จี้ถูกเนรเทศและต่อมาในปีเดียวกันถูกกดดันให้ฆ่าตัวตายในระหว่างที่ถูกเนรเทศนั้นในท้ายที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นซูจิงจงยังได้สร้างเรื่องเพื่อป้ายสีแก่ฉู่ซุ่ยเหลียง หลิวซื่อ ฮานหยวน หยู๋จือหนิง ทำให้ฉู่ซุ่ยเหลียงผู้ซี่งเสียชีวิตไปแล้วในปี ค.ศ. 658 ถูกยึดตำแหน่งทั้งหมดหลังจากเสียชีวิตแล้ว และทำให้บุตรชายทั้งสองของเขา คือ ฉู่ย่านฝู่ (อังกฤษ: Chu Yanfu; จีน: 褚彥甫; พินอิน: Chǔ yànfǔ) และฉู่ย่านชง (อังกฤษ: Chu Yanchong; จีน: 褚彥沖; พินอิน: Chǔ yànchōng) ต้องถูกประหารด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีคำสั่งให้ประหารชีวิตหลิวซื่อ และฮานหยวนด้วยเช่นกัน โดยฮานหยวนนั้นได้เสียชีวิตลงก่อนที่คำสั่งประหารจะไปถึงเขา หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้จึงไม่มีผู้ใดในราชสำนักกล้าต่อต้านและวิพากย์วิจารณ์สมเด็จพระจักรพรรดินีบูเช็กเทียนอีกต่อไป

การเนรเทศเจ้าชายหลี่จง[แก้]

ในปี ค.ศ. 660 เจ้าชายหลี่จง พระราชโอรสพระองค์แรกของสมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจง (อังกฤษ: Li Zhi; จีน: 李治) (กับพระสนมหลิว) ซึ่งเจ้าชายหลี่จงทรงเกรงกลัวว่าพระองค์จะทรงเป็นเป้าหมายในการกำจัดเช่นเดียวกัน โดยพระนางบูเช็กเทียนได้ให้เนรเทศเจ้าชายออกจากราชสำนักและถูกกักบริเวณไว้[26]

อาการพระประชวรของจักรพรรดิถังเกาจง[แก้]

ในปี ค.ศ. 660 สมเด็จพระจักรพรรดิเกาจงและจักรพรรดินีบูเช็กเทียนได้เสด็จไปยังบริเวณเบียน (Bian Prefecture; ปัจจุบันคือ ไท่หยวน (Taiyuan)) ซึ่งในครั้งนี้พระนางบูเช็กเทียนมีโอกาสได้เชิญเพื่อนบ้านและญาติพี่น้องเข้าร่วมงานฉลองของราชสำนักด้วย[26] ปลายปีนั้นจักรพรรดิเกาจงทรงเริ่มมีอาการพระประชวรมากขึ้น โดยทรงมีอาการปวดพระเศียรอย่างหนักและสูญเสียการมองเห็นด้วย โดยคาดว่าเกิดจากโรคความดันสูง (hypertension-related)[27] หากนักประวัติศาสตร์บางคนมีความเห็นว่าอาการพระประชวรนั้นเป็นผลจากการที่พระนางบูเช็กเทียนพยายามลอบวางยาพิษแก่สมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจงทีละน้อย[28] ดังนั้นพระองค์จึงเริ่มให้จักรพรรดินีบูเช็กเทียนออกว่าราชการแทนมากขึ้น ทั้งนี้พระนางก็ได้แสดงความสามารถและสติปัญญาทั้งในด้านวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ รวมทั้งการบริหารราชการอย่างถูกต้อง จนพระนางสามารถรวบอำนาจของสมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจงมาได้ทั้งหมด[26]

ความพยายามขับไล่สมเด็จพระจักรพรรดินีบูเช็กเทียน[แก้]

กล่าวกันว่าในปี ค.ศ. 664 สมเด็จพระจักรพรรดินีบูเช็กเทียนได้เข้าแทรกแซงการบริหารราชการในราชสำนักมากขึ้นจนทำให้จักรพรรดิเกาจงไม่พอพระทัย นอกจากนั้นพระนางยังได้ให้กัวสิงเจิน (อังกฤษ: Guo Xingzhen; จีน: 郭行真; พินอิน:Guōxíngzhēn) ผู้เป็นหมอผีลัทธิเต๋ามาทำพิธีคาถาอาคม ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในราชสำนัก อันเคยเป็นสาเหตุให้อดีตพระอัครมเหสีหวังถูกปลดและขับไล่ออกจากราชสำนักไป ขันทีหวังฝูเชิ่ง (อังกฤษ:Wang Fusheng; จีน: 王伏勝 ; พินอิน: Wángfúshèng) จึงได้รายงานแก่จักรพรรดิเกาจงให้ทรงทราบ ยิ่งทำให้พระองค์ไม่พอพระทัยมากยิ่งขึ้น พระองค์จึงได้ปรึกษากับเสนาบดีซั่งกวนอี๋ (อังกฤษ: Shangguan Yi; จีน: 上官儀; พินอิน: Shàngguān Yí) ซึ่งได้แนะนำให้จักรพรรดิเกาจงทรงปลดจักรพรรดินีบูเช็กเทียนและขับไล่จากราชสำนักเสีย พระองค์จึงมีรับสั่งให้ซั่งกวนร่างพระบัญชาขึ้น ในขณะเดียวกันนั้นจักรพรรดินีบูเช็กเทียนก็ได้รับข่าวการขับไล่พระองค์ พระนางจึงเสด็จเข้าเฝ้าจักรพรรดิเกาจงเพื่ออ้อนวอนขอให้พระองค์พระราชทานอภัยโทษ ทำให้จักรพรรดิเกาจงทรงพระทัยอ่อนลงและกล่าวหาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคำแนะนำจากซั่งกวนอี๋
เนื่องจากทั้งซั่งกวนอี๋ และหวังฝูเชิ่ง ต่างก็เป็นผู้ที่ทำงานให้กับเจ้าชายหลี่จง พระนางบูเช็กเทียนจึงสั่งให้ซูจิงจงวางแผนใส่ร้ายบุคคลทั้งสาม คือ เจ้าชายหลี่จง ซั่งกวนอี๋ และหวังฝูเชิ่งว่าก่อการกบฏ ทำให้ซั่งกวนอี๋ หวังฝูเชิ่ง และบุตรชายของซั่งกวนอี๋ คือ ซั่งกวนถิงจื้อ (อังกฤษ: Shangguan Tingzhi; จีน: 上官庭芝; พินอิน: Shàngguān tíng zhī) ถูกลงโทษประหารชีวิต ในขณะที่เจ้าชายหลี่จงนั้นก็ถูกกดดันให้ทรงฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา[29] ส่วนภรรยาของซั่งกวนถิงจื้อและบุตรสาว คือ ซั่งกวนหว่านเอ๋อ (อังกฤษ: Shangguan Wan'er; จีน: 上官婉兒; พินอิน: Shàngguān wǎn er) ซึ่งขณะนั้นยังเป็นทารกอยู่ถูกจับมาเป็นทาสรับใช้ในราชสำนัก (ต่อมาเมื่อซั่งกวนหว่านเอ๋อโตขึ้น นางได้รับความไว้วางใจจนได้เป็นราชเลขาส่วนพระองค์ในพระนางบูเช็กเทียน ต่อมาเมื่อองค์รัชทายาทหลี่เสียน ขึ้นครองราชย์สืบต่อมาเป็นจักรพรรดิถังจงจง ซั่งกวนหว่านเอ๋อจึงได้เป็นพระสนมในพระองค์)
หลังจากนั้น สมเด็จพระจักรพรรดินีบูเช็กเทียนทรงนั่งว่าราชการหลังม่านด้านหลังขององค์สมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจง ทำให้ทั้งสองพระองค์นั้นได้รับการเรียกขานจากประชาชนว่า "2 ธีรราช" หรือ "ผู้วิเศษคู่" (อังกฤษ: Er Sheng หรือ "Two Holy Ones"; จีนตัวเต็ม: 二聖; พินอิน: Èr shèng)[29] สมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจงทรงมีพระราชโองการให้ออกพระนามพระองค์ในฐานะสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งสวรรค์ (天皇) ส่วนสมเด็จพระจักรพรรดินีบูนั้นให้ออกพระนามในฐานะสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งสวรรค์ (天后) เช่นเดียวกัน

ความร้าวฉานในตระกูลอู่[แก้]

ในช่วงเวลาที่จักรพรรดิบูเช็กเทียนสำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น พระนางได้แต่งตั้งตำแหน่งต่าง ๆ ให้แก่ญาติของพระนางหลายคน เช่น ท่านหญิงหยาง (มารดาของจักรพรรดิบูเช็กเทียน) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสุภาพสตรีแห่งหรง (Lady of Rong) และพี่สาวผู้เป็นหม้ายของพระนางก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสุภาพสตรีแห่งฮั่น (Lady of Han) ด้วย ส่วนพี่ชาย คือ อู่ หยวนชิง และ อู่ หยวนซวง พร้อมทั้งลูกพี่ลูกน้อง คือ อู่ เว่ยเหลียง และ อู่ ฮ่วยยุ่น ซึ่งแม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดีนักกับท่านหญิงหยาง แต่ต่างก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งด้วย อย่างไรก็ตาม ในงานเลี้ยงฉลองที่ท่านหญิงหยางจัดขึ้นให้แก่พวกเขาเพื่อฉลองการรับตำแหน่งใหม่ อู่ เว่ยเหลียง แสดงอาการโกรธท่านหญิงหยางและกล่าวว่าพวกเขามิได้รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติในการได้รับตำแหน่งใหม่นี้จากสมเด็จพระจักรพรรดินีบูเช็กเทียนเลย จักรพรรดิบูเช็กเทียนจึงมีรับสั่งให้ลดตำแหน่งญาติเหล่านี้และขับไล่ไปยังพื้นที่กันดารห่างไกลเพื่อเป็นการแก้แค้นที่กระทำไม่ดีกับมารดาของพระนาง โดย อู่ หยวนชิง และ อู่ หยวนซวง เสียชีวิตในระหว่างการเนรเทศ
ในปี (หรือก่อนปี) ค.ศ. 666 พี่สาวหม้ายของจักรพรรดินีบูเช็กเทียน หรือสุภาพสตรีแห่งฮั่น เสียชีวิตลงเช่นกัน สมเด็จพระจักรพรรดิเกาจงจึงทรงแต่งตั้งให้บุตรีของนางเป็นสุภาพสตรีแห่งเว่ย (Lady of Wei) และอนุญาตให้พำนักอยู่ในราชสำนักต่อไปได้ (คาดว่าในฐานะนางสนม) แต่การแต่งตั้งนี้มิได้กระทำในทันทีหลังจากมารดาของนางเสียชีวิตลง ด้วยสมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจงทรงหวั่นเกรงว่าพระนางบูเช็กเทียนจักไม่พอพระทัย หากคาดว่าพระนางบูเช็กเทียนทรงทราบเรื่องนี้จึงวางอุบายใส่ยาพิษลงในอาหารที่นำมาถวายโดย อู่ เว่ยเหลียง และ อู่ ฮ่วยยุ่น แก่สุภาพสตรีแห่งเว่ย แล้วใส่ร้ายความผิดให้แก่คนทั้งสอง ทำให้ อู่ เว่ยเหลียง และ อู่ ฮ่วยยุ่น ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตในเวลาต่อมา[29][30]

มารดาของพระนางบูเช็กเทียนเสียชีวิต[แก้]

ในปี ค.ศ. 670 มารดาของพระนางบูเช็กเทียน คือ ท่านหญิงหยาง ได้เสียชีวิตลง ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิเกาจงทรงมีรับสั่งให้ข้าราชบริพารในราชสำนักและภริยาทุกคนเข้าร่วมพิธีเคารพศพของนาง ต่อมาในปีเดียวกันนั้น ราชอาณาจักรถูกภัยพิบัติจากความแห้งแล้งเป็นอย่างมาก จักรพรรดินีบูเช็กเทียนจึงขอให้ยกเลิกพิธีนั้นเสีย แต่องค์จักรพรรดิทรงปฏิเสธและยังแต่งตั้งให้บิดาของพระนางคือ อู่ ซึ่อฮั่ว (ผู้ที่ได้รับยศหลังจากเสียชีวิตแล้วเป็นดยุคแห่งโจว (Duke of Zhou)) และท่านหญิงหยาง มียศใหม่หลังจากเสียชีวิตแล้วเป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งไท่หยวน (Prince and Princess of Taiyuan)[29]

ความร้าวฉานในตระกูลอู่ครั้งใหม่[แก้]

ต่อมาหลานของจักรพรรดินีบูเช็กเทียนผู้เป็นบุตรของพี่สาวหม้ายของพระองค์ คือ สุภาพสตรีแห่งฮั่น ชื่อ เฮ่อหลานมิ๋นจือ (อังกฤษ: Helan Minzhi; จีน: 賀蘭敏之; พินอิน: Hèlán mǐnzhī) ได้รับพระราชานุญาตให้ใช้สกุลอู่และสืบทอดตำแหน่งดยุกแห่งโจว แต่เป็นที่ชัดเจนว่าเฮ่อหลานมิ๋นจือนันกำลังสงสัยในตัวพระนางบูเช็กเทียนว่าเป็นผู้มีส่วนในการฆาตกรรมพี่สาวของเขา พระนางบูเช็กเทียนจึงได้เพิ่มความระมัดระวังในตัวเฮ่อหลานมิ๋นจือ นอกจากนั้นยังมีผู้กล่าวว่าเฮ่อหลานมิ๋นจือนั้นเคยมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับยายของเขาเอง คือท่านหญิงหยางอีกด้วย ในปี ค.ศ. 671 เฮ่อหลานมิ๋นจือถูกกล่าวหาว่าไม่ประพฤติตามกฎระเบียบการไว้ทุกข์ในระหว่างพิธีไว้ทุกข์ของท่านหญิงหยาง และยังถูกกล่าวหาว่าได้ข่มขืนบุตรีของข้าราชการที่ชื่อ หยางซือเจี่ยน (อังกฤษ: Yang Sijian ; จีน: 楊思儉; พินอิน: Yángsījiǎn) ซึ่งเป็นสตรีที่สมเด็จพระจักรพรรดิเกาจงและสมเด็จพระจักรพรรดินีบูเช็กเทียนได้คัดเลือกให้เป็นมเหสีของเจ้าชายหลี่หง ผู้เป็นองค์รัชทายาท เฮ่อหลานมิ๋นจือจึงได้รับโทษโดยการถูกเนรเทศ ซึ่งต่อมาเขาได้เสียชีวิตลงโดยมิอาจทราบได้แน่ชัดว่าเป็นการเสียชีวิตในระหว่างการเนรเทศหรือเป็นการฆ่าตัวตาย
ในปี ค.ศ. 674 จักรพรรดินีบูเช็กเทียนได้ทรงเรียก อู่ เฉิงซื่อ (อังกฤษ: Wu Chengsi; จีน: 武承嗣; พินอิน: Wǔ Chéngsì; เสียชีวิตเมือวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 698) พระนัดดาของพระนางผู้เป็นบุตรของอู่ หยวนซวงกลับมาจากการถูกเนรเทศและให้รับตำแหน่งดยุกแห่งโจวสืบต่อด้วย[31]

ต่อต้านการขึ้นสู่ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ[แก้]

ในปี ค.ศ. 675 พระอาการประชวรของสมเด็จพระจักรพรรดิเกาจงหนักขึ้น พระองค์จึงมีพระราชปรารภให้แต่งตั้งจักรพรรดินีบูเช็กเทียนเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่เสนาบดีฮ่าวฉู้จิ้น (อังกฤษ: Hao Chujun; จีน: 郝處俊; พินอิน: Hǎochùjùn; ค.ศ. 607–681) และข้าราชการชื่อ หลีอี้หย่าน (อังกฤษ: Li Yiyan; จีน: 李義琰; พินอิน: Lǐyìyǎn; เสียชีวิตในปี ค.ศ. 688) คัดค้านพระองค์ในเรื่องนี้ จักรพรรดิเกาจงจึงยังมิได้แต่งตั้งจักรพรรดินีบูเช็กเทียนเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

กำจัดคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง[แก้]

ต่อเนื่องในปี ค.ศ. 675 มีผู้คนจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อของความกริ้วโกรธของจักรพรรดินีบูเช็กเทียน
พระปิตุจฉาของสมเด็จพระจักรพรรดิเกาจง คือ เจ้าหญิงฉางเล่อ (ภริยานายพล จ้าวกุย (อังกฤษ: Zhao Gui; จีน: 趙瓌; พินอิน: Zhào guī) และพระธิดาของพระองค์ได้เสกสมรสกับเจ้าชายหลี่เสียน หรือ เจ้าชายแห่งโจว (Prince of Zhou) พระโอรสองค์ที่สามในพระนางบูเช็กเทียน) ทรงไม่พอพระทัยในตัวจักรพรรดินีบูเช็กเทียนด้วยทรงเห็นว่าสมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจงทรงให้ความโปรดปรานในตัวพระนางเป็นอันมาก เจ้าหญิงจ้าว พระธิดาจึงถูกกล่าวหาด้วยข้อหาอาชญากรรมที่พระองค์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและถูกจับกุมในที่สุด ต่อมาเจ้าหญิงจ้าวได้สิ้นพระชมน์ด้วยอาการขาดอาหาร ส่วนนายพลจ้าวกุยและเจ้าหญิงฉางเล่อก็ถูกเนรเทศด้วย
ในปลายเดือนนั้นเอง เจ้าชายหลี่หง องค์รัชทายาท ผู้พยายามร้องขอมิให้พระนางบูเช็กเทียนใช้อิทธิพลเหนือการบริหารราชการของจักรพรรดิเกาจง  เพราะพระองค์ก็ทรงมีความคิดเช่นเดียวกับผู้คนในยุคสมัยเดียวกันว่าพระชนนีหรือพระนางบูเช็กเทียนนั้นเป็นเพียงอิสตรี จึงไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราชการแผ่นดินมากนัก โดยเฉพาะเมื่อพระนางบูเช็กเทียนผู้ซึ่งแทบจะทรงว่าราชการแทนจักรพรรดิเกาจงทั้งหมดอยู่แล้วนั้น เจ้าชายหลี่หงองค์รัชทายาทยิ่งมิอาจจะทรงรับได้ พระองค์จึงทรงกราบทูลแก่พระราชบิดา สมเด็จพระจักรพรรดิเกาจง ว่าจะทรงวางแผนยึดอำนาจจากพระนางบูเช็กเทียน โดยให้ออกพระราชโองการข้อความว่าจักรพรรดินีบูเช็กเทียนทรงใส่ร้ายอดีตจักรพรรดินีหวัง และให้คืนศักดิ์ฐานะให้แก่อดีตจักรพรรดินีหวังและอดีตพระมเหสีเซียวผู้ล่วงลับไปแล้วอีกด้วย พร้อมกับทรงเรียกร้องให้ปล่อยตัวน้องสาวต่างมารดาของพระองค์ คือ เจ้าหญิงอี้หยาง (ธิดาในพระสนมเซียว) และซ่วนเฉิง ซึ่งขณะนั้นถูกกักบริเวณอยู่
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าพระนางบูเช็กเทียนเป็นผู้วางยาพิษแก่เจ้าชายหลี่หง ทำให้เจ้าชายหลี่เสียนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าชายแห่งย่ง (Prince of Yong) และได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแทน[31] นอกจากนั้นเจ้าชายหลี่ซู่เจี๋ย พระโอรสอีกพระองค์หนึ่งของพระสนมเซียว และเจ้าชายหลี่ซ่างจิน (อังกฤษ: Li Shangjin; จีน: 李上金; พินอิน: Lǐshàngjīn) พระโอรสอีกพระองค์หนึ่งของจักรพรรดิเกาจง ทั้งสองพระองค์ก็ถูกพระนางบูเช็กเทียนใส่ร้ายว่าก่ออาชญากรรมและถูกปลดออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมาด้วยเช่นกัน[31]

การเนรเทศเจ้าชายหลี่เสียนพระราชโอรส[แก้]

เจ้าชายหลี่เสียนนั้นทรงเป็นผู้มีพระปรีชาสามารถไม่ด้อยไปกว่าเจ้าชายหลี่หงพระเชษฐาธิราชเลย โดยเฉพาะในด้านอักษรศาสตร์ เช่น พระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์พระราชพงศาวดารตั้งแต่ยุคบรรพกาลจนถึงราชวงศ์ฮั่นขึ้นมาชุดหนึ่งที่ยังคงได้รับการยอมรับจากวงการประวัติศาสตร์จีนในปัจจุบันว่ามีความน่าเชื่อถืออ้างอิงได้มากที่สุดฉบับหบึ่งทีเดียว จึงนับได้ว่าพระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์พระองค์หนึ่ง หากแต่จุดจบของพระองค์ก็ไม่ต่างจากพระเชษฐาเท่าไรนัก เรื่องที่ปรากฏในบันทึกทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า ในเวลาต่อมา ความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดินีบูเช็กเทียนกับพระราชโอรส เจ้าชายหลี่เสียน นั้นไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากเจ้าชายหลี่เสียนทรงหวั่นเกรงพระทัยเมื่อทรงได้ยินข่าวลือว่าพระองค์เองมิได้เป็นพระโอรสของพระนางบูเช็กเทียน แต่กลับเป็นพระโอรสในสุภาพสตรีแห่งฮั่น พระขนิษฐาของพระนางบูเช็กเทียน เมื่อพระนางทรงทราบว่าเจ้าชายหลี่เสียนทรงเกิดความเกรงกลัวขึ้นจากข่าวลือนี้ พระนางทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ หมิงสงเอี๋ยน (อังกฤษ: Ming Chongyan; จีน: 明崇儼) ผู้เป็นหมอดูหรือโหรคนโปรดซึ่งเป็นพระสหายที่ร่วมต่อสู้ในเกมช่วงชิงอำนาจ และเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้พระนางบูเช็กเทียนขึ้นมากุมอำนาจในฐานะสมเด็จพระจักรพรรดินี (ผู้เคยกราบทูลแก่จักพรรดิเกาจงและจักรพรรดินีบูเช็กเทียนว่าเจ้าชายหลี่เสียนนั้นไม่เหมาะจะเป็นผู้สืบราชบัลลังก์) ได้ถูกลอบสังหารลงในปี ค.ศ. 679 พระนางบูเช็กเทียนก็ยื่งระแวงในตัวเจ้าชายหลี่เสียนมากขึ้นเนื่องจากทรงสงสัยว่าเจ้าชายจะเป็นต้นเหตุแห่งการลอบสังหารนี้
ต่อมาในปี ค.ศ. 680 ระหว่างที่เจ้าหน้าที่สืบสวน คือ เซียวหยวนเชา (อังกฤษ: Xue Yuanchao; จีน: 薛元超; พินอิน: Xuēyuánchāo; 622–683), เผยหยาน (อังกฤษ: Pei Yan; จีน: 裴炎; พินอิน: Péi yán) และ เกาจื่อโจว (อังกฤษ: อังกฤษ:Gao Zhizhou; จีน: 高智周; พินอิน: Gāozhì zhōu) สืบสวนเรื่องนี้นั้น ได้ค้นเจออาวุธจำนวนมากในวังของเจ้าชายหลี่เสียน องค์รัชทายาท พระนางบูเช็กเทียนจึงมีพระราชโองการว่าองค์รัชทายาทคิดก่อการกบฏและเป็นผู้สังหารหมิงสงเอี๋ยน จึงทรงให้ถอดถอนจากตำแหน่งรัชทายาทลงเป็นสามัญชน แล้วให้เนรเทศไปถึงเมืองเฉิงตู ดินแดนเสฉวนอันห่างไกล ภายหลังหลี่เสียนทรงกระทำอัตวินิบาตกรรมตัวเองโดยการผูกคอตายที่เมืองเฉิงตูนั้น ซึ่งมีเสียงเล่าลือดังขึ้นว่าพระนางบูเช็กเทียนองค์จักรพรรดินีและพระมารดานั้นเป็นผู้พระราชทานแพรขาวให้แก่พระราชโอรส เพื่อบีบบังคับให้ผูกคอตายเอง

รัชทายาทพระองค์ใหม่[แก้]

หลังจากการเนรเทศเจ้าชายหลี่เสียน (อังกฤษ: Li Xian; จีน: 李賢; พินอิน: Li Xián; ค.ศ. 653–684) เจ้าชายหลี่เสี่ยน (อังกฤษ: Li Zian; จีน: 李顯; พินอิน: Lǐ xiǎn; 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 656 – 3 กรกฎาคม ค.ศ. 710) ผู้ซึงภายหลังเปลี่ยนพระนามเป็น หลี่เจ๋อ (อังกฤษ: Li Zhe; จีน: 李哲; พินอิน: Lǐ zhé) ได้รับพระราชทานตำแหน่งเจ้าชายรัชทายาทแทนเจ้าชายหลี่เสียน แลภายหลังได้ทรงได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ถัง ทรงพระนามว่าสมเด็จพระจักรพรรดิจงจง (อังกฤษ: Emperor Zhongzong of Tang; จีน: 唐中宗; พินอิน: Tángzhōngzōng) ทรงครองราชย์ในระยะเวลาสั้น ๆ ในปี ค.ศ. 684 และอีกครั้งตังแต่ปี ค.ศ. 705 ถึงปี ค.ศ. 710[31]

องค์หญิงไท่ผิง[แก้]

ในปี ค.ศ. 681 องค์หญิงไท่ผิง (อังกฤษ: Princess Taiping; จีน: 太平公主; พินอิน: Tàipíng Gōngzhǔ, แปลตามตัวอักษรว่า "เจ้าหญิงแห่งสันติสุข") พระชนิษฐาในเจ้าชายหลี่เจ๋อ หรือจักรพรรดิถังจงจง ได้ทรงอภิเษกสมรสกับเซียวส่าว (อังกฤษ: Xue Shao; จีน: 薛紹; พินอิน: Xuē shào) บุตรของเจ้าหญิงเฉิงหยาง พระขนิฐาของสมเด็จพระจักรพรรดิเกาจง
จักรพรรดินีบูเช็กเทียนนั้นเมื่อแรกทรงมีความประทับใจในเชื้อสายวงศ์ตระกูลของภริยาของพี่ชายเซียวส่าว คือ เซียวหยี่ (อังกฤษ: Xue Yi; จีน: 薛顗; พินอิน: Xuē yǐ) มาก จนมีพระราชดำริให้พระเชษฐาของพระนางหย่าจากภริยาแล้วให้มาแต่งงานกับเซียวหยี่แทน ต่อมาพระนางทรงยกเลิกความคิดนี้เมื่อทรงได้ทราบว่าเซียวหยี่ผู้เป็นหลานสาวของอดีตเสนาบดีเสี่ยวหยู๋ (Xiao Yu)[31]

การสวรรคตของจักรพรรดิถังเกาจง[แก้]

ในช่วงปลายรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิถังไท่จง พระองค์และจักรพรรดินีบูเช็กเทียนทรงมักเสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่เมืองหลวงทางตะวันออก คือ เมืองลกเอี๋ยง เป็นเวลานาน ทำให้พระองค์มักไม่ค่อยประทับที่อยู่ในเมืองฉางอานเท่าใดนัก[26]
ปลายปี ค.ศ. 683 จักรพรรดิเกาจงสิ้นพระชมน์ลงในขณะที่ประทับอยู่ในเมืองลั่วหยาง (Luoyang) เนื่องจากสมเด็จพระจักรพรรดิเกาจงนั้นเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงนัก พระนางบูเช็กเทียนจึงเป็นผู้ดูแลการบริหารงานภารกิจของราชสำนักอยู่เบื้องหลังพระองค์ในช่วงเวลาตลอด 20 ปีที่พระองค์ทรงครองราชย์ [32]
เจ้าชายหลี่เจ๋อ (อังกฤษ: Li Zhe; จีน: 李哲; พินอิน: Lǐ zhé; ค.ศ. 656–710) หรือพระนามเดิม หลี่เสี่ยน (จีน: 李顯; พินอิน: Lǐ xiǎn) ทรงขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิถังจงจง (อังกฤษ: Emperor Zhongzong of Tang; จีน: 唐中宗; พินอิน: Táng zhōng zōng)   สืบต่อจากจักรพรรดิถังเกาจง แต่ผู้มีอำนาจในการบริหารราชการที่แท้จริงคือพระนางบูเช็กเทียนซึ่งทรงดำรงตำแหน่งอยู่ในฐานะ "พระพันปี" หรือ "หฺวังไท่โฮ่ว" ตามสำเนียงกลาง หรือ "ฮองไทเฮา" ตามสำเนียงฮกเกี้ยน (อังกฤษ: empress dowager; จีน: 皇太后; พินอิน: húangtàihòu) และผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน[33]

พระพันปีหรือฮองไทเฮาและผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน[แก้]

หลังจากที่พระสวามี สมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจงทรงสิ้นพระชมน์ลง พระนางบูเช็กเทียนทรงดำรงตำแหน่งพระพันปี (หรือฮองไทเฮา) และยังเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระนางได้มีรับสั้งให้วางยาพิษพระราชโอรสหลี่หง (อังกฤษ: Li Hong; จีน: 李弘; พินอิน: Lǐ hóng; ค.ศ. 652 – 25 พฤษภาคม ค.ศ. 675) ผู้ดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมาร และทรงให้เนรเทศพระราชโอรสองค์อื่นๆ เพื่อให้พระโอรสองค์ที่สามของพระนาง คือ เจ้าชายหลี่เจ้อ ได้เป็นรัชทายาทแทน นอกจากนี้พินัยกรรมของจักรพรรดิเกาจงยังได้ระบุไว้ให้พระโอรสคือเจ้าชายหลี่เจ้อเป็นผู้สืบทอดพระราชบังลังก์ต่อจากพระองค์ โดยให้มีพระนางบูเช็กเทียนเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ในราชการสำคัญต่างๆ ทั้งด้านการทหารและกิจการพลเรือน[34]

รัชสมัยของจักรพรรดิถังจงจง[แก้]

ในเดือนที่สองของปี ค.ศ. 684 เจ้าชายหลี่เจ๋อ รัชทายาทและพระราชโอรสในสมเด็จพระจักรพรรดินีบูเช็กเทียนทรงขึ้นครองราชย์ ออกพระนามว่า สมเด็จพระจักรพรรดิถังจงจง ด้วยเวลาที่ทรงครองราชย์เพียง 6 สัปดาห์เท่านั้น (ข้อมูลบางแหล่งแจ้งว่าทรงครองราชย์นานน้อยกว่า 1 ปี)
หลังการขึ้นครองราชย์จักรพรรดิจงจงทรงแสดงออกถึงการไม่เชื่อฟังพระนางบูเช็กเทียนในทันที ด้วยทรงเชื่อพระมเหสีของพระองค์ คือ จักรพรรดินีเว่ย (empress Wei) เป็นอย่างมาก และยังแต่งตั้งให้พระสัสสุระ (พ่อตา) เว่ยส่วนเจิน (อังกฤษ: Wei Xuanzhen; จีนตัวเต็ม: 韋玄貞; พินอิน: Wéixuánzhēn) เป็นอัครมหาเสนาบดี (หรือเทียบเท่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน) นอกจากนั้นพระองค์ยังมีความพยายามแต่งตั้งให้พระสัสสุระของพระองค์เป็นจื้อจง (อังกฤษ: Shizhong; จีนตัวเต็ม: 侍中; พินอิน: Shì zhōng) ซึ่งเป็นตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานตรวจสอบของราชสำนัก หรือ เหมินเซี่ยเซิ่ง (อังกฤษ: the examination bureau of government หรือ Menxia Sheng; จีนตัวเต็ม: 門下省; พินอิน: Ménxià shěng) และแต่งตั้งให้บุตรชายของแม่นมของพระองค์เป็นข้าราชการในระดับกลาง แม้ว่าเผยหยาน (Pei Yan) จะคัดค้านอย่างรุนแรงก็ตาม และจนถึงจุดหนึ่งที่พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสกับเผยหยานไปว่า[33]
จะผิดอะไรแม้ว่าฉันจะให้อาณาจักรทั้งหมดแก่เว่ยส่วนเจิน อย่างนั้นแล้วท่านจะสนใจอะไรกับตำแหน่งจื้อจงล่ะ
เผยหยานจึงได้ถวายรายงานแก่พระนางบูเช็กเทียน ซึ่งขณะนั้นมีพระอิสริยยศเป็นพระพันปี ทำให้พระพันปีบูเช็กเทียนทรงวางแผนกับเผยหยาน หลิวยี่จือ (อังกฤษ: Liu Yizh; จีน: 劉禕之; พินอิน: Liú yī zhī) และเหล่านายพล คือ เฉิงอู้ที่ง (อังกฤษ: Cheng Wuting; จีน: 程務挺; พินอิน:Chéng wùtǐng) และจางเฉียนฉู่ (อังกฤษ: Zhang Qianxu; จีน: 張虔勖; พินอิน: Zhāng qián xù) ปลดพระองค์ออกจากตำแหน่งและให้พระโอรสองค์สุดท้องของพระนาง คือเจ้าชายหลี่ตั้น (อังกฤษ: Li Dan หรือ Prince of Yu; จีน: 李旦; พินอิน: Lǐ dàn) ขึ้นครองราชย์แทน โดยออกพระนามว่าสมเด็จพระจักรพรรดิถังรุ่ยจง (จีน: 唐睿宗, ค.ศ. 662-716) พระพันปีบูเช็กเทียนทรงตั้งข้อหาแก่พระสัสสุระของจักพรรดิจงจงว่าคิดก่อการกบฏโดยให้จับกุมชังไว้ ส่วนพระจักรพรรดิจงจงนั้น ทรงลดตำแหน่งของพระองค์เหลื่อเป็นเพียงเจ้าชายแห่งลู่หลิง (Prince of Luling) พร้อมทั้งให้ถูกเนรเทศออกไป ในขณะเดียวกันนั้นพระพันปีบูเช็กเทียนยังได้ส่งนายพล ชิวเฉินจี (อังกฤษ: Qiu Shenji; จีน: 丘神勣; พินอิน: Qiū shénjī) ไปยังวังของเจ้าชายหลี่เสียน (Li Xián) ที่อยู่ในระหว่างการเนรเทศและพระราชทานผ้าแพรสีขาวเพื่อให้ทรงทำอัตวิบากกรรม (ฆ่าตัวตาย)

การขึ้นสู่อำนาจเต็ม[แก้]

รัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิถังรุ่ยจง[แก้]

แม้ว่าพระโอรสองค์สุดท้ายของพระพันปีบูเช็กเทียน เจ้าชายหลี่ตั้น จะทรงขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิถังรุ่ยจงแล้วก็ตาม พระนางบูเช็กเทียนก็ยังเป็นผู้บริหารราชการที่แท้จริงทั้งในด้านสาระการทำงานและภาพลักษณ์ที่ปรากฏ พระนางมิได้ปรารถนาจะดำเนินตามขนบธรรมเนียมดั้งเดิมที่จะต้องบริหารงานผ่านหลังม่านโดยการกระซิบบอกกล่าวแก่ผู้ปกครองพระองค์จริงที่จะเป็นผู้มีพระราชดำรัสแจ้งแก่คณะขุนนางอย่างเป็นทางการต่อ จักรพรรดิรุ่งจงทรงมิเคยได้เสด็จประทับในเขตที่ประทับขององค์จักรพรรดิ (imperial quarters) หรือปรากฏกายในงานพระราชพิธีของราชสำนักแม้แต่น้อย แต่กลับถูกกักบริเวณอยู่เพียงที่ประทับฝ่ายในเท่านั้น[35] ข้าราชการในราชสำนักมิเคยได้รับพระราชานุญาตให้เข้าเฝ้าจักรพรรดิรุ่ยจงเลยแม้แต่น้อย และพระองค์ก็ไม่ได้รับราชานุญาตจากพระนางบูเช็กเทียนให้ว่าราชการใด ๆ เนื่องจากพระนางเป็นผู้บริหารราชการต่าง ๆ ด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น นอกจากนั้นด้วยคำแนะนำของพระราชนัดดาของพระนาง คือ อู่ เฉิงซื่อ (อังกฤษ: Wu Chengsi; จีน: 武承嗣; พินอิน: Wǔ Chéngsì) พระนางจึงบูชาบรรพบุรุษโดยทรงยกย่องเกียรติภูมิของตระกูลอู๋ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของพระนางให้สูงส่งมากขึ้น[33]
ในปี ค.ศ. 686 พระพันปีบูเช็กเทียนได้เสนอที่จะคืนพระราชอำนาจในการบริหารราชการให้แก่สมเด็จพระจักรพรรดิรุ่ยจง แต่จักรพรรดิรุ่ยจงทรงทราบดีว่าพระนางมิได้มีพระราชประสงค์เช่นนั้นโดยแท้ พระองค์จึงทรงปฏิเสธพระพันปีบูเช็กเทียนไป พระนางจึงบริหารราชการแผ่นดินต่อไปแม้ว่าจะทรงอยู่ในฐานะพระพันปี
ในปี ค.ศ. 690 พระนางบูเช็กเทียนทรงบังคับให้จักรพรรดิรุ่ยจงสละราชบัลลังก์ให้แก่พระนางและตั้งเป็นราชวงศ์ใหม่ คือ ราชวงศ์โจว โดยพระนางบูเช็กเทียนทรงเป็นผู้ครองราชย์บัลลังก์เองในฐานะกษัตริย์ (หวงตี้ หรือ huangdi)
ช่วงต้นของการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระจักรพรรดินีบูเช็กเทียนนั้น เริ่มต้นด้วยความหวั่นกลัวของเหล่าข้าราชการในหน่วยสืบสวนลับที่ทรงตั้งขึ้นในระยะเวลาหลายปี อย่างไรก็ตามพระนางก็ได้รับการยอมรับและยกย่องจากนักประวัติศาสตร์ที่ชื่นชอบพระองค์ว่าเป็นผู้ปกครองที่บริหารราชการด้วยพระปรีชาสามารถและเอาใจใส่ในการบริหารราชการ นอกจากนั้นพระนางยังทรงได้รับการยกย่องในเรื่องการจัดระบบการคัดเลือกข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถเพื่อเข้ารับราชการในราชสำนัก (การสอบขุนนาง) ในตลอดช่วงเวลาของราชวงศ์ถังและส่งผลในราชวงศ์ต่อมาอีกหลายราชวงศ์[36]
15 ปี ต่อมา ในปี ค.ศ. 705 พระนางบูเช็กเทียนทรงถูกทำรัฐประหารโดยอดีตจักรพรรดิถังจงจง หลังการทำรัฐประหารสำเร็จพระองค์ทรงขึ้นครองราชบัลลังก์เป็นอีกครั้ง หากพระนางบูเช็กเทียนก็ยังคงใช้พระอิสริยยศ "จักรพรรดิ" หรือ "หวงตี้" หรือ "emperor" ต่อจนกระทั่งสวรรคตในปีเดียวกันนั้นเอง

การจลาจลในปี ค.ศ. 684[แก้]

ไม่นานหลังจากนั้น หลี่จิ่งเย่ (อังกฤษ: Li Jingye; จีน: 李敬業; พินอิน: Lǐ jìngyè) หรือดยุกแห่งอิง (อังกฤษ: the Duke of Ying; จีน: 英貞武公; พินอิน: Yīng zhēnwǔ gōng) ผู้เป็นหลานชายของหลี่ซื่อจี (อังกฤษ: Li Shiji; จีน: 李世勣; พินอิน: Lǐshìjī) ซึ่งเขาไม่พอใจที่ตนเองถูกเนรเทศจึงเริ่มก่อการกบฏขึ้นที่หยางโจว (จีน: 揚州; พินอิน: Yángzhōu, หรือในปัจจุบัยคือเมืองหยางโจว ในมณฑลเจียงซู) ในช่วงแรกนั้นได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมากจากผู้คนในถิ่นนั้น แต่หลี่จิ่งเย่ดำเนินการไปอย่างเชื่องช้า และยังมิได้ใช้ประโยชน์จากมวลชนที่สนับสนุนการกบฏนี้นัก ในขณะเดียวกันนั้นเผยหยานได้กราบทุลเสนอให้พระนางบูเช็กเทียนคืนอำนาจในราชสำนักให้แก่จักรพรรดิรุ่ยจงเสีย โดยกล่าวว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้การก่อการกบฏนั้นยุติลงไปได้เอง ซึ่งสิ่งที่เผยหยานกล่าวมานั้นทำให้พระนางไม่พอพระทัยเป็นอันมาก พระนางจึงตั้งข้อกล่าวหาแก่เผยหยานว่ามีส่วนร่วมรู้เป็นกับหลี่จิ่งเย่และสั่งประหารชีวิตเผยหยานทันที นอกจากนั้นพระนางยังทรงสั่งปลด เนรเทศ และประหารชีวิตเจ้าหน้าที่ที่พยายามแก้ต่างให้แก่เผยหยานอีกด้วย ต่อจากนั้นพระนางได้ส่งหลี่เสี้ยวอี้ (อังกฤษ: Li Xiaoyi; จีน:李孝逸; พินอิน: Lǐxiàoyì) ไปโจมตีหลี่จิ่งเย่ ซึ่งในครั้งแรกนั้นหลี่เสี้ยวอี้ดำเนินการไม่สำเร็จ จึงให้ผู้ช่วยของเขาคือ เว่ยเหยียนจง (Wei Yuanzhong; จีน: 魏元忠; พินอิน: Wèi yuánzhōng) เข้าโจมตีจนสำเร็จในที่สุด ส่วนหลี่จิ่งเย่นั้นถูกสังหารในระหว่างการต่อสู้นี้เอง[33]

ความสัมพันธ์กับหวายอี้[แก้]

ในปี ค.ศ. 685 พระจักรพรรดินีบูเช็กเทียนเริ่มมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับภิกษุหวายอี้ (อังกฤษ: Huaiyi; จีน: 懷義; พินอิน: Huái yì; เสียชีวิตวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 694[1])  หรือ เซึยวหวายอี้ (อังกฤษ: Xue Huaiyi; จีน: 薛懷義; พินอิน: Xuē huáiyì) ทำให้ในช่วงเวลาหลายปีถัดมานั้นหวายอี้ได้รับความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ[33][37][38]

หน่วยตำรวจสืบค้นข้อมูลลับ[แก้]

นับตั้งแต่หลี่จิ่งเย่ได้ก่อการกบฏขึ้นนั้น พระนางบูเช็กเทียนมีความหวาดระแวงอยู่เสมอ ไม่ไว้วางพระทัยไม่ว่าจะเป็นราชนิกูล เสนาบดี และเหล่าข้าราชการต่าง ๆ พระนางจึงใช้พระราชอำนาจกำจัดบุคคลที่ทรงไม่ไว้วางใจเหล่านั้นด้วยความเด็ดขาดและเหี้ยมโหด[39]
ในปี ค.ศ. 686 ได้มีการออกแบบประดิษฐ์กล่องทองแดงสำหรับเก็บจดหมายที่ประชาชนส่งเข้ามาแจ้งเรื่องที่เปิดโปงความลับต่าง ๆ กล่องนี้ถูกออกแบบขึ้นโดยชายผู้หนึ่ง ชื่อ อวี๋เป่าเจีย กล่องทองแดงนี้ถูกออกแบบให้มีช่องจำนวน 4 ช่อง สำหรับแยกเก็บจดหมายเปิดโปงความลับในด้านต่าง ๆ โดยเมื่อมีผู้ใส่จดหมายลงในกล่องนี้แล้วจะไม่สามารถหยิบออกได้อีก[39] พระนางทรงพอพระทัยมากและให้จัดทำกล่องทองแดงนี้ว่างไว้ตามประตูพระราชวัง รวมทั้งในราชสำนัก เนื่องจากพระนางมีความหวาดระแวงว่าเหล่าเสนาบดีและข้าราชการจะคิดต่อต้านพระนาง
สำหรับผู้ที่ส่งจดหมายเปิดโปงความลับ หากเรื่องที่แจ้งเป็นเรื่องจริงผู้ที่แจ้งจะได้รับรางวัลเพื่อเป็นการตอบแทน แต่ผู้ที่แจ้งเรื่องที่เป็นความเท็จแล้วก็จะไม่ได้รับโทษใด ๆ นอกจากนั้นบางครั้งพระนางบูเช็กเทียนยังรับสั่งเรียกให้ผู้ที่แจ้งเรื่องเข้ามานั้นมาเข้าเฝ้ามามอบตำแหน่งและเลื่อนขั้นให้กับบุคคลเหล่านี้ด้วย ทำให้กระแสการเปิดโปงความลับแพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง[39]
สาเหตุจากความหวาดระแวงของพระนางบูเช็กเทียนนี้ ทำให้หน่วยสืบสวนลับ ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการชั้นผู้น้อยอย่าง เซี่ยวโหยวลี่ (อังกฤษ: Suo Yuanli; จีนตัวเต็ม: 索元禮; จีนตัวย่อ: 索元礼; พินอิน: Sǔo Yuánlǐ) โจวซิ่ง (อังกฤษ: Zhou Xing; จีน: 周興; พินอิน: Zhōu xìng) และไหลจวิ้นเฉิน (อังกฤษ: Lai Junchen;จีน: 來俊臣; พินอิน: Lái jùnchén) มีอำนาจในการดำเนินการมากขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงมีการตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการยัดเยียดข้อกล่าวหา ตั้งคดีที่ไม่เป็นธรรม ใส่ร้ายคนดี จึงได้เลื่อนขั้นขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังซื้อตัวอันธพาลไว้ใช้งานเป็นจำนวนมาก เพื่อการเปิดโปงโดยเฉพาะ ทั้งยังสร้างหลักฐานเท็จในการใส่ร้ายป้ายสี ทรมาน และประหารชีวิตอย่างเป็นระบบ[33]

กำจัดคู่แข่งที่เป็นที่ต้องสงสัย[แก้]

ในปี ค.ศ. 688 พระนางบูเช็เทียนทรงยอมที่จะเสียแม่น้ำโล่ (อังกฤษ: Luo River; จีน: 洛水; พินอิน: Luò shuǐ; เป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองลกเอี๋ยงในมณฑลเหอหนาน หรือที่เรียกว่าเป็นเมืองหลวงแห่งตะวันออก) พระนางบูเช็กเทียนทรงเรียกประชุมเชื้อพระวงศ์อาวุโสของราชวงศ์ถังซึ่งอยู๋ในตระกูลหลี่ในเมืองลั่วหยาง ทำให้เจ้าชายและเชื้อพระวงศ์เหล่านั้นต่างวิตกกังวลว่าจะเป็นแผนลวงในการลอบสังหารพวกตนเพื่อปกป้องพระราชบัลลังก์ของพระนาง พวกเขาจึงวางแผนต่อต้านพระนางบูเช็กเทียน อย่างไรก็ตามก่อนที่จะมีการวางแผนการทำรัฐประหารอย่างรัดกุมนั้น หลี่เจิน (อังกฤษ: Li Zhen; จีน: 李貞; พินอิน: Lǐ zhēn; ค.ศ. 627 - 12 ตุลาคม ค.ศ. 688) หรือเดิมคือ เจ้าชายจิ้งแห่งเยว่ หรือ เยว่จิ้งหวัง (อังกฤษ: Prince Jing of Yue; จีน: 越敬王; พินอิน: Yuè jìng wáng) และบุตรชายของเขา หลี่ชง (อังกฤษ: Li Chong; จีน: 李沖; พินอิน: Lǐ chōng; เสียชีวิต 22 กันยายน ค.ศ. 688) หรือเดิมคือ เจ้าชายแห่งหลังเซี่ย (อังกฤษ: Prince of Langye; จีน: 琅邪王; พินอิน: Láng xié wáng) ได้ลุกขึ้นมาต่อต้านเสียก่อน โดยใช้ฐานอยู่ในบริเวณยู่โจว (อังกฤษ: Yu Prefecture; จีน:豫州; พินอิน: Yùzhōu, ในปัจจุบันคือเมืองจู้หม่าเตี้ยน (อังกฤษ: Zhumadian; จีน: 驻马店; พินอิน: Zhùmǎdiàn) ในมณฑลเหอหนาน) และบริเวณโบว๋โจว (อังกฤษ: Bo Prefecture; จีน: 博州; พินอิน: Bó zhōu, ในปัจจุบันคือ iaochengมณฑลซานตง) ในขณะที่เจ้าชายราชวงศ์ถังคนอื่น ๆ ยังไม่พร้อม ทำให้หลี่เจินและหลี่ชงถูกกองกำลังของพระนางบูเช็กเทียนและกองกำลังพื้นเมืองโจมตีได้โดยสำเร็จอย่างรวดเร็ว พระนางบูเช็กเทียนจึงใช้โอกาสนี้จับกุมหลานชายของสมเด็จพระจักรพรรดิเกาจง หลี่หยวนเจีย (อังกฤษ: Li Yuanjia; จีน: 李元嘉; พินอิน: Lǐ yuánjiā) หรือเจ้าชายแห่งฮั่น และหลี่หลิงกุ้ย (อังกฤษ: Li Lingkui; จีน: 李靈夔; พินอิน: Lǐ líng kuí) หรือเจ้าชายแห่งหลู และเจ้าชายฉางเล่อ รวมถึงเชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ ในราชวงศ์ถังผู้สืบเชื้อสายตระกูลหลี่ได้ถูกบังคับให้ทำอัตนิบากกรรมไปทั้งสิ้น แม้แต่เซียวส่าวพระสวามีของเจ้าหญิงไท่ผิงซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็ถูกทรมานด้วยการอดอาหารและเสียชีวิตในที่สุด ต่อมาอีกหลายปีก็ยังมีแรงจูงใจทางการเมืองที่ทำให้เกิดการสังหารเหล่าสมาชิกเชื้อพระวงศ์ตระกูลหลี่อยู่อย่างต่อเนื่อง[37]

พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว[แก้]

ในปี ค.ศ. 690 ขณะที่พระนางบูเช็กเทียนมีพระชมน์มายุได้ 67 พรรษา พระนางได้ทรงดำเนินการขั้นสุดท้ายในการขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดินี หรือ หวงตี้ พร้อมทั้งแผนการตั้งราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์โจว เนื่องจากกฏมณเฑียรบาลจีนในสมัยนั้นไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสืบทอดตำแหน่งในราชบัลลังก์ (คล้ายกับกฎหมายแซลิกในประเทศทางยุโรป) แต่พระนางบูเช็กเทียนนั้นทรงตั้งใจที่จะล้มล้างประเพณีนี้ นอกจากนั้นการใช้วิธีสืบสวนลับก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ระบบการรับข้าราชการพลเรือนในยุคของพระนางนั้นมีความบกพร่องและหละหลวมมากในการเลื่อนขั้นและปรับตำแหน่ง อย่างไรก็ตามพระนางบูเช็กเทียนนั้นถือว่ามีความสามารถในการประเมิณความสามารถของเหล่าขุนนางและข้าราชการได้เป็นอย่างดีเมื่อบุคคลเหล่านี้ได้เข้ามารับใช้พระองค์ ดังที่ซือหม่ากวง (อังกฤษ: Sima Guang; จีนตัวย่อ: 司马光; จีนตัวเต็ม:司馬光; พินอิน: Sīmǎ Guāng; ค.ศ. 1019 – 1086) นักประวัติศาสตร์ในยุคราชวงศ์ซ่งได้ระบุไว้ในหนังสือจือจื้อทงเจี้ยน (อังกฤษ: Zizhi Tongjian หรือ Tzu-chih Tung-chien; จีนตัวย่อ: 资治通鉴; จีนตัวเต็ม: 資治通鑑; พินอิน: Zīzhì Tōngjiàn; แปลตามตัวอักษรว่า "กระจกที่ครอบคลุมเพื่อช่วยร้ฐบาล (Comprehensive Mirror to Aid in Government)") ที่เขาเขียนไว้ โดยมีข้อความว่า[38]
แม้ว่าพระพันปีหรือฮองไทเฮา[40] จะทรงใช้ยศฐาบรรดาศักดิ์และตำแหน่งทางราชการเพื่อให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการ ยอมเป็นพวกรับใช้ให้กับพระนาง แต่หากพระนางเห็นบุคคลใดไร้ความสามารถจะทรงสั่งปลดหรือแม้กระทั่งประหารชีวิตโดยทันที พระนางทรงรักษาไว้ซึ่งอำนาจในการควบคุมราชสำนักและอาณาจักรด้วยการให้รางวัลและบทลงโทษไปพร้อม ๆ กัน ทั้งยังใช้วิจารณญาณของพระนางเองในการตัดสินใจและกำหนดนโยบายต่าง ๆ ด้วยการสังเกตและตัดสินอย่างรอบคอบ ดังนั้นข้าราชการผู้มีความสามารถจึงยอมเป็นข้ารับใช้พระนางอย่างเต็มใจ
ขุนนางคนใกล้ชิดของพระนางบูเช็กเทียนถวายคัมภรีร์ต้าอวิ๋นจิง ให้แก่พระนางและกล่าวว่าพระนางบูเช็กเทียนทรงเป็นสังขจายจุตติมาประสูติ จึงควรที่จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ต่อมาฟูโหยวอี้ ขุนนางตำแหน่งซื่ออวี้สื่อ พาผู้คนจำนวน 900 คนมาเสนอเปลี่ยนราชวงศ์จากชื่อราชวงศ์ถังเป็นราชวงศ์โจว ในครั้งแรกพระนางบูเช็กเทียนทรงทำทีไม่อนุญาต แต่ก็ตอบแทนแก่ฟูโหยวอี้โดยการเลื่อนตำแหน่งให้แก่เขา หลังจากนั้นจึงมีเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการในราชสำนัก และประชาชนจำนวนกว่า 60,000 คน พากันมาขอให้พระนางทรงเปลี่ยนราชวงศ์อีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ เดือน พระนางบูเช็กเทียนจึงประกาศให้เปลี่ยนจากราชวงศ์ถังมาเป็นราชวงศ์โจว และจัดพระราชพิธีสถาปนาราชวงศ์ใหม่อย่างยิ่งใหญ่ ให้ตั้งเมืองลั่วหยางเป็นเมืองหลวง และเมืองฉางอันเป็นเมืองหลวงรอง รวมทั้งยกย่องบรรพบุรุษตระกูลอู่ (หรือบู ในสำเนียงฮกเกี้ยน) ของพระนางเป็นตระกูลแห่งจักรพรรดิ[39]
เส้นทางการขึ้นสู่พระราชอำนาจและราชบัลลังก์ของพระนางบูเช็กเทียน หรือสมเด็จพระจักรพรรดินีบูเช็กเทียนเพื่อเป็นกษัตริย์หญิงพระองค์แรกและพระองค์เดียวแห่งแผ่นดินจีนนั้น ผ่านอุปสรรคขวากหนามและทั้งยังเต็มไปด้วยเล่ห์กลอุบาย การใส่ร้ายป้ายสี ลอบทำร้าย ลอบสังหารอยู่หลายครา ก่อนที่พระนางจะสามารถสถาปนาราชวงศ์โจวของพระองค์ได้ เรื่องราวประวัติศาสตร์นี้ หลินยู่ถัง (อังกฤษ: Lin Yutang; พ.ศ. 2438-2519) นักประพันธ์ชื่อดังของจีน ได้ระบุไว้ในหนังสือ “ประวัติบูเช็กเทียน” ถึงสถิติการวางแผนการสังหารบุคคลที่ขัดขวางเส้นทางของพระนางว่า ทรงสังหารลูก หลาน และเชื้อพระวงศ์ที่ใกล้ชิดรวม 23 พระองค์ สังหารเจ้าชายในรางวงศ์ถังแซ่หลี่ 50 พระองค์ เสนาบดีและขุนผลฝีมือดีอีก 36 คน รวมทั้งหมด 109 คน

ช่วงต้นของการครองราชย์[แก้]

หลังจากที่พระนางบูเช็กเทียนทรงขึ้นครองราชย์เพื่อปกครองและบริหารราชการอย่างเต็มอำนาจในฐานะกษัตริย์ด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงได้พัฒนาพระพุทธศาสนาขึ้นเหนือลัทธิเต๋า ทรงสนับสนุนพระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการโดยการสร้างวัดต้าหยุน หรือวัดเมฆใหญ่ (อังกฤษ: Dayun Temple; จีน: 大雲寺; พินอิน: Dà yúnsì) ขึ้นในแต่ละจังหวัดที่อยู่ภายใต้อาณาเขตของเมืองหลวงทั้งสองแห่งคือ เมืองลั่วหยางและเมืองฉางอัน รวมถึงแต่งตั้งตำแหน่งพระภิกษุอาวุโสรวม 9 ตำแหน่ง และพระนางยังทรงตั้งแท่นบูชาบรรพบุรุษเจ็ดชั้นไว้ในวัดหลวง แต่พระนางก็ยังคงปฏิบัติพิธีบวงสรวงอดีตจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังทั้งสามพระองค์ คือ สมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจู่ สมเด็จพระจักรพรรดิถังไท่จง สมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจงเช่นเดิม[37]
หากแต่พระนางบูเช็กเทียนก็ประสบปัญหาเรื่องผู้สืบทอดตำแหน่งรัชทายาท ในช่วงที่ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งราชบัลลังก์นั้น พระนางแต่งตั้งเจ้าชายหลี่ตั้น (อดีตสมเด็จพระจักรพรรดิถังรุ่ยจง) ให้เป็นองค์รัชทายาท และให้เปลี่ยนพระนามเป็นแซ่อู่ด้วย[37] อย่างไรก็ตาม จางเจียฝู (อังกฤษ: Zhang Jiafu; จีน: 張嘉福; พินอิน: Zhāngjiāfú) ได้เกลี้ยกล่อม หวังชิ่งจรือ(อังกฤษ: Wang Qingzhi; จีน: 王慶之; พินอิน: Wáng qìngzhī) ให้ยื่นฏีกาเสนอให้เจ้าชายอู่เฉิงซื่อ (อังกฤษ: Wu Chengsi; จีน: 武承嗣; พินอิน: Wǔ Chéngsì) ผู้เป็นพระนัดดาของพระนางบูเช็กเทียนขึ้นเป็นเจ้าชายรัชทายาทแทน โดยให้เหตุผลว่าพระจักรพรรดินีทรงมีพระนามแซ่อู่ ดังนั้นผู้สืบทอดราชบัลลังก์จึงควรเป็นผู้ที่อยู่ในตระกูลอู่จึงจะมีความเหมาะสมกว่า พระนางได้ทรงทราบและเห็นด้วยหากแต่เสนาบดีเฉินจ่างเชี่ยน (อังกฤษ: Cen Changqian; จีน: 岑長倩; พินอิน: Cén zhǎngqiàn) และเก๋อฝู่หยวน (อังกฤษ: Ge Fuyuan; จีน: 格輔元; พินอิน: Gé fǔyuán) แสดงความเห็นคัดค้านเรื่องนี้อย่างรุนแรง พวกเขาทั้งสองรวมทั้งพวกอีกหนึ่งคน คือเสนาบดีโอวหยาทง (อังกฤษ: Ouyang Tong; จีน: 歐陽通; พินอิน: Ōuyáng tōng) จึงถูกลงโทษประหารชีวิตทั้งหมด ในที่สุดพระนางบูเช็กเทียนก็มิได้ทำตามคำเสนอแนะที่จะแต่งตั้งให้อู่เฉิงซื่อเป็นรัชทายาท แต่ทรงอนุญาตให้หวังชิ่งจรือสามารถเข้าออกพระราชวังเพื่อเข้าพระนางได้อย่างอิสระ โดยมีช่วงหนึ่งที่พระนางบูเช็กเทียนทรงไม่พอพระทัยหวังชิ่งจรือซึ่งเข้าออกพระราชวังบ่อยเกินไป พระนางจึงมีรับสั่งให้หลี่เจาเต๋อ(อังกฤษ: Li Zhaode; จีน: 李昭德; พินอิน: Lǐzhāodé) สั่งสอนหวังชิ่งจรือ หลี่เจาเต๋อจึงใช้โอกาสนี้ทำร้ายหวังชิ่งจรือจนเสียชีวิต
หลี่เจาเต๋อจึงได้กราบบังคมทูลพระนางบูเช็กเทียนโดยเสนอแนะให้เจ้าชายหลี่ตั้นเป็นองค์รัชทายาทดังเดิม ด้วยเหตุผลว่าความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นบุตรของเจ้าชายหลี่ตั้นนั้นมีความใกล้ชิดกับพระนางมากกว่าความสัมพันธ์ในฐานะพระนัดดาของเจ้าชายอู่เฉิงซื่อ นอกจากนั้นหากเจ้าชายอู่เฉิงซื่อทรงขึ้นครองราชย์บัลลังก์แล้วพระองค์ก็คงจะไม่ทำพิธีบูชาบรรพบุรุษให้แก่สมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจงเป็นแน่ พระนางบูเช็กเทียนจึงตกลงพระทัยให้เจ้าชายหลี่ตั้นคงเป็นองค์รัชทายาทดังเดิม และมิได้นำเรื่องนี้มาพิจารณาอีกเป็นเวลานานหลังจากนั้น[37] นอกจากนั้นหลี่เจาเต๋อยังได้กล่าวเตือนอีกว่าอู่เฉิงซื่อนั้นมีอำนาจมากเกินไป พระนางบูเช็กเทียนจึงได้ถอดถอนอู่เฉิงซื่อออกจากตำแหน่งเสนาบดีและแต่งตั้งเขาในตำแหน่งใหม่ที่สูงกว่าหากมิได้มีอำนาจอย่างแท้จริง[38]
ในปี ค.ศ. 692 ในขณะที่อิทธิพลและอำนาจของหน่วยสืบสวนลับมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกิดกรณีที่ไหลจวิ้นเฉินเจ้าหน้าที่ตำรวจลับตั้งข้อหาใส่ร้ายเหล่าเสนาบดี ตี๋ เหรินเจี๋ย(อังกฤษ: Di Renjia ; จีน: 狄仁傑; พินอิน: Dírénjié) ผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์ถัง ในรัชศกอู่ เจ๋อเทียน เป็นข้าราชการหนึ่งในหลาย ๆ คนซึ่งได้รับการสรรเสริญมากที่สุดในรัชศกดังกล่าว และเป็นที่สดุดีว่ามีบทบาทผลักดันให้อู่ เจ๋อเทียนเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบอันโหดร้ายเป็นระบอบอันเชิดชูคุณธรรม เริ่นจรีอกู่ (อังกฤษ: Ren Zhigu; จีน: 任知古; พินอิน: Rèn zhī gǔ) เผยสิงเปิ่น (อังกฤษ: Pei Xingben; จีน: 裴行本; พินอิน: Péixíngběn) และข้าราชการในราชสำนัก คือ ซุยซวนหลี่ (อังกฤษ: Cui Xuanli; จีน: 崔宣禮; พินอิน: Cuī xuānlǐ), หลูเซี่ยน (อังกฤษ: Lu Xian; จีน: 盧獻; พินอิน: Lú xiàn), เว่ยหยวนจง (อังกฤษ: Wei Yuanzhong; จีน: 魏元忠; พินอิน: Wèi yuánzhōng), และ หลี่ซื่อเจิน(อังกฤษ: Li Sizhen; จีน: 李嗣真; พินอิน: Lǐsìzhēn) ในข้อหาก่อการกบฏ โดยไหลจวิ้นเฉินได้พยายามทำให้ทั้งเจ็ดคนนี้ยอมรับสารภาพโดยอ้างพระราชกระแสรับสั่งของพระจักรพรรดินีบูเช็กเทียนว่าหากผู้ใดรับสารภาพแล้วจะได้รับการไว้ชีวิต ตี๋เหรินเจี๋ยซึ่งยอมรับสารภาพจึงไม่ถูกทรมาน หลังจากนั้นหวังเต์อโช่ว (อังกฤษ: Wang Deshou ; จีน: 王德壽; พินอิน: Wáng déshòu) ลูกน้องของไหลจวิ้นเฉินได้พยายามหว่านล้อมให้ตี๋เหรินเจี๋ยใส่ร้ายพาดพิงถึง Yang Zhirou 楊執柔 เสนาบดีอีกคนหนึงด้วย หากแต่ตี๋เหรินเจี๋ยปฏิเสธ และเขาได้เขียนคำร้องทุกข์ถึงพระนางบูเช็กเทียนบนผ้าห่มและซ่อนไว้ในเสื้อผ้าที่ส่งกลับบ้านโดยอ้างว่าจะเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อน โดยให้บุตรชายของเขา ตี้กวงหยวน (อังกฤษ: Di Guangyuan; จีน: 狄光遠; พินอิน: Dí guāng yuǎn) เป็นผู้นำคำร้องทุกข์นี้ออกมา พระนางบูเช็กเทียนจึงทรงระแคะระคายในเรื่องนี้และสงสัยมากขึ้นจนเรียกไหลจวิ้นเฉินเข้าพบ ซึ่งไหลจวิ้นเฉินก็ได้ปลอมแปลงเอกสารในชื่อของตี๋เหรินเจี๋ยและพรรคพวก โดยมีข้อความว่าบุคคลเหล่านี้ได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระนางบูเช็กเทียนที่ทรงรับสั่งโทษประหารชีวิตแก่พวกเขา[38]
อย่างไรก็ตาม Le Sihui บุตรชายคนเล็กของเสนาบดีอีกคนหนึ่งซึ่งถูกจับกุมและโดยได้รับโทษในฐานะผู้รับใช้เสนาบดีด้านการเกษตรได้เขียนเรื่องร้องเรียนแก่พระนางบูเช็กเทียน ซึ่งมีข้อความกล่าวด้วยว่าไหลจวิ้นเฉินนั้นเป็นผู้มากความสามารถในด้านการสร้างคดีเท็จ จนแม้ผู้ซื่อสัตย์และสุจริตที่สุดก็ยังอาจได้รับการทรมานจากเขาจนต้องยอมสารภาพผิดในที่สุด พระนางบูเช็กเทียนจึงทรงมีรับสั่งให้นำตัวนักโทษทั้งเจ็ดคนนั้นมาให้พระนางไต่สวนด้วยพระองค์เอง และหลังจากที่ทั้งหมดได้ปฏิเสธการรับสารภาพว่าเป็นเอกสารที่ปลอมแปลงขึ้นโดยไหลจวิ้นเฉินแล้ว พระนางบูเช็กเทียนจึงให้ปล่อยตัวทั้งหมดแต่ให้ถูกเนรเทศไปรับราชการอยู่ต่างเมืองแทน โดยในกรณีของตี๋เหรินเจี๋ยนั้น ทรงให้ไปเป็นผู้พิพากษาที่มณฑลเผิงเจ๋อ(อังกฤษ: Pengze County; จีน: 彭澤; พินอิน: Péng zé, ปัจจุบันคือจิ่วเจียง ในมณฑลเจียงซี)
หลังจากคดีของตี๋เหรินเจี๋ยและพวกแล้ว ด้วยคำแนะนำของ จูจิ้งเจ๋อ (อังกฤษ: Zhu Jingze; จีน: 朱敬則; พินอิน: Zhū jìngzé) และ โจวจู่ (อังกฤษ: Zhou Ju; จีน: 周矩; พินอิน: Zhōu jǔ) การสังหารหมู่จากคดีทางการเมืองก็ลดน้อยลงไปเป็นอันมาก แม้ว่าจะยังไม่หมดไปโดยสิ้นเชิงก็ตาม[38]
และในปี ค.ศ. 692 เดียวกันนี้เองพระนางบูเช็กเทียนได้ทรงมีรับสั่งให้นายพลหวังเสี้ยวเจี๋ย (อังกฤษ: Wang Xiaojie; จีน: 王孝傑; พินอิน: Wángxiàojié) เข้าโจมตีเมืองทูฟาน(อังกฤษ: Tufan) ซึ่งเป็นรัฐ ๆ หนึ่งในทิเบต ซึ่งนายพลหวังเสี้ยวเจี๋ยสามารถเอาชนะกองกำลังของทิเบตและสามารถรวบรวมอาณาบริเวณซียู่ (อังกฤษ: Xiyu; จีน:  西域; พินอิน: Xīyù) (พื้นที่บริเวณตะวันออกของจีน) ที่ตกอยู่ภายใต้ทิเบตตั้งแต่ปี ค.ศ. 670 คือ ชิวจื๋อ (อังกฤษ: Qiuzi; จีนตัวเต็ม: 龜茲; พินอิน: Qiūcí) ยู๋เถียน (อังกฤษ: Yutian; จีนตัวเต็ม: 于田; พินอิน: Yú tián) ชูเล่อ (อังกฤษ: Shule; จีน: 疏勒; พินอิน: Shū lēi) และซุ่ยเย่ (อังกฤษ: Suiye; จีนตัวเต็ม: 碎葉; พินอิน: Suì yè) กลับเข้ามาได้[38]
ในปี ค.ศ. 693 พระนางบูเช็กเทียนทรงเชื่อคำกราบทูลของนางสนองพระโอษฐ์เหวยทวนเอ่อร์ (อังกฤษ: Wei Tuan'er; จีน: 韋團兒; พินอิน: Wéi tuán er) ผู้เป็นปฏิปักษ์กับเจ้าชายหลี่ตั้น (ไม่มีข้อมูลหลักฐานว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกเช่นนั้น) ซึ่งกล่าวข้อความใส่ร้ายเจ้าหญิงหลิว พระมเหสีของเจ้าชายหลี่ตั้น (อังกฤษ: Crown Princess Liu; จีน: 劉皇后; พินอิน: Liú huánghòu) และนางสนมโตวว่าใช้คาถาอาคม พระนางบูเช็กเทียนจึงทรงสั่งให้ประหารชีวิตเมหสีหลิวและนางสนมโตว เจ้าชายหลี่ตั้นทรงเกรงพระทัยว่าพระองค์จะถูกลงโทษโดยการประหารเช่นกันเป็นรายต่อไปจึงไม่กล้าที่จะทักทานใด ๆ นางสนองพระโอษฐ์เหวยทวนเอ่อร์จึงวางแผนใส่ร้ายและกำจัดเจ้าชายหลี่ตั้นด้วยอีกพระองค์หนึ่ง อย่างไรก็ตามมีบางคนได้กราบบังคมทูลความจริงเกี่ยวกับนางสนองพระโอษฐ์เหวยทวนเอ่อร์ ทำให้พระนางบูเช็กเทียนทรงสั่งประหารนางสนองพระโอษฐ์เหวยทวนเอ่อร์ แต่พระนางก็ยังทรงลงโทษเจ้าชายหลี่ตั้นโดยการลดพระอิสริยยศของพระโอรสของเจ้าชายหลี่ตั้น
ต่อมามีผู้กล่าวหาว่าเผ๋ยเฝ่ยกง (อังกฤษ: Pei Feigong; จีน: 裴匪躬; พินอิน: Péi fěi gōng) และฟ่านหยุนเซียน (อังกฤษ: Fan Yunxian; จีน: 范雲仙; พินอิน: Fàn yúnxiān) ได้ลักลอบเข้าพบเจ้าชายหลี่ตั้น ทั้งสองคนจึงถูกประหารด้วยเช่นกัน ทั้งพระนางบูเช็กเทียนยังได้สั่งห้ามมิให้ข้าราชการคนใดเข้าพบเจ้าชายหลี่ตั้นด้วย หลังจากนั้นเจ้าชายหลี่ตั้นก็ถูกกล่าวหาว่าวางแผนก่อการกบฏ พระนางบูเช็กเทียนจึงทรงให้ไหลจวิ้นเฉินดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้ โดยได้เข้าจับกุมคนรับใช้ของเจ้าชายหลี่ตั้นจำนวนมากมาทรมานเพื่อให้รับสารภาพ จนกระทั่งมีคนรับใช้หลายคนที่ถูกทรมานจนทนไม่ได้และพร้อมสารภาพผิดรวมทั้งกล่าวโทษต่อเจ้าชายหลี่ตั้นด้วย หากมีคนรับใช้คนหนึ่งของเจ้าชายหลี่ตั้นชื่อ อันจิ้งจาง (อังกฤษ: An Jinzang) ได้ยืนยันว่าเจ้าชายหลี่ตั้นนันเป็นผู้บริสุทธิ์และได้ผ่าท้องตัวเองเพื่อเป็นการสาบานและยืนยันคำกล่าวนั้น เมื่อพระนางบูเช็กเทียนทรงทราบเรื่องนี้ ทรงให้หมอหลวงเข้ารักษาอันจิ้งจางซึ่งก็สามารถช่วยรักษาชีวิตของเขาไว้ได้อย่างหวุดหวิด รวมทั้งสั่งให้ไหลจวิ้นเฉินยุติการสอบสวนนี้ ซึ่งทำให้เจ้าชายหลี่ตั้นทรงรอดชีวิตมาได้[38]
ในปี ค.ศ. 694 หลี่เจาเต๋อกลายเป็นผู้ที่มีอำนาจแทนเจ้าชายอู่เฉิงซื่อที่ถูกถอดจากตำแหน่งเสนาบดีและลดทอนอำนาจลง และตัวหลี่เจาเต๋อเองก็ลุแก่อำนาจและอิทธิพลของตนเองมากขึ้นเรื่อย ๆ พระนางบูเช็กเทียนจึงทรงรับสั่งให้ถอดถอนเขาลงเช่นกัน[38] ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองที่พระนางบูเช็กเทียนทรงลุ่มหลงในกลุ่มลี้ลับ ซึ่งมีฤๅษีเหวยเฉินฟาง(อังกฤษ: Wei Shifang; จีน: 韋什方; พินอิน: Wéi shén fāng) ที่พระนางทรงแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีในช่วงเวลาสั้น ๆ ด้วย เขาอ้างว่าตนเองเกิดในปี ค.ศ. 238 จึงมีอายุมากกว่า 450 ปีแล้ว แม่ชีในพุทธศาสนาจากเมืองเหอเน่ย (อังกฤษ: Henei; จีน: 河內; พินอิน: Hénèi) ซึ่งอ้างว่าเป็นพระพุทธเจ้าและยังสามารถทำนายอนาคตได้ และชายชราอีกผู้หนึ่งซึ่งอ้างว่ามีอายุมากกว่า 500 ปี โดยพระนางบูเช็กเทียนทรงเคารพทั้งสามคนนี้มาก โดยอ้างว่าเป็นการสร้างภาพของพระศรีอริยเมตไตรย (พระพุทธเจ้าองค์ถัดไป หรือคือ พระโคตมพุทธเจ้า) ที่นำมาใช้ในพิธีกรรมเพื่อสร้างฐานและบารมีให้แก่ราชบัลลังก์ของพระนาง[41] อย่างไรก็ตาม ต่อมาในปี ค.ศ. 695 พระตำหนักวังหลวงสองหลัง คือ หมิงถังหรือโถงท้องพระโรง (อังกฤษ: the imperial meeting hall; จีน: 明堂; พินอิน: Míngtáng) และโถงแห่งสรวงสวรรค์ (อังกฤษ: the Heavenly Hall; จีน: 天堂; พินอิน: Tiāntáng) ถูกไฟใหม้ลงจากฝีมือการวางเพลิงของเซียวหวายอี้ อดีตชู้รักของพระนางที่มีความรู้สึกริษยาและโกรธที่พระนางบูเช็กเทียนหันไปมีชู้รักคนใหม่ คือ เฉินหนานฉิว (อังกฤษ: Shen Nanqiu; จีน: 沈南璆; พินอิน: Chénnán qiú) ผู้เป็นหมอหลวงแห่งพระราชวังในขณะนั้น ทำให้พระนางบูเช็กเทียนทรงโกรธที่กลุ่มบุคคลลี้ลับทั้งสามที่พระนางให้ความเคารพเชื่อถือนั้นกลับไม่สามารถทำนายเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ได้ล่วงหน้าตามที่กล่าวอ้างไว้ จึงรับสั่งให้จับกุมแม่ชีและบรรดาลูกศิษย์ของนางไปเป็นทาสเสีย ส่วนเหวยเฉินฟางนั้นชิงฆ่าตัวตายเสียก่อน และชายชรานั้นหนีไปได้ ต่อมาพระนางทรงลงโทษเซียวหวายอี้ด้วยการประหารชีวิตตามไปอีกคนหนึ่งด้วย หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้พระนางบูเช็กเทียนทรงลดความสนใจในเรื่องลี้ลับเหล่านี้ลงอย่างมาก และกลับมาให้ความสนพระทัยเอาใจใส่ในการบริหารปกครองบ้านเมืองกว่าแต่ก่อนมากด้วย[38]

ช่วงกลางของการครองราชย์[แก้]

ในการบริหารปกครองบ้านเมืองสมัยพระนางบูเช็กเทียนนั้น เกิดปัญหาทางชายแดนตอนเหนือและตะวันตกอยู่เสมอ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิในปี ค.ศ. 696 กองทัพที่พระนางสั่งให้ยกไปต่อสู้กับทูฟาน (Tufan) ชนกลุ่มชาวทิเบตซึ่งนำทัพโดยหวังเสื้ยวเจี๋ย (อังกฤษ:Wang Xiaojiei; จีน: 王孝傑; พินอิน: Wángxiàojié) และโหลวซือเต๋อ (อังกฤษ: Lou Shide; จีน: 婁師德; พินอิน: Lóu shī dé) นั้นได้รับความพ่ายแพ้แก่กองทัพของนายพลแห่งทูฟาน คือสองพี่น้องลุ่นชินหลิง (อังกฤษ: Lun Qinling; จีน: 論欽陵; พินอิน: Lùn qīn líng) และลุ่นจ้านโป๋ว (อังกฤษ: Lun Zanpo; จีน: 論贊婆; พินอิน: Lùn zàn pó) พระนางจึงมีรับสั่งให้ปลดหวังหวังเสื้ยวเจี๋ยไปเป็นสามัญชนเสีย และให้โหลวซือเต๋อไปเป็นข้าราชการระดับต่ำแทน แต่ต่อมาภายหลังพระนางจึงได้คืนตำแหน่งแก่บุคคลทั้งสองให้กลับมาเป็นนายพลดังเดิม[38] ในเดือนเมษายนปีเดียวกันนั้นเอง พระนางบูเช็กเทียนทรงรับสั่งให้สร้างหม้อสามขาเก้าชิ้น (อังกฤษ: Nine Tripod Cauldrons; จีน: 九鼎; พินอิน: Jǐu Dǐng) ขึ้นใหม่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจอันสูงสุดของในวัฒนาธรรมจีน เพื่อเป็นการเน้นย้ำถึงสถานภาพและอำนาจของพระนางด้วย[42]
มีเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างมากเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 696 หัวหน้าเผ่าชี่ตาน (อังกฤษ: Khitan; จีน: 契丹; พินอิน: Qìdān) คือ หลี่จิ้นจง (อังกฤษ: Li Jinzhong; จีน: 李盡忠; พินอิน: Lǐ jìnzhōng) และน้องเขยของเขา คือ ซุนว่านหรง (อังกฤษ: Sun Wanrong; จีน: 孫萬榮; พินอิน: Sūnwànróng) ซึ่งเป็นกลุ่มชนทางตอนเหนือของประเทศจีนที่มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4 และมีอิทธิพลมากเหนือพื้นที่มองโกเลียและในเวลาต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 คือ แมนจูเรีย ทั้งสองเกิดควาโกรธแค้นที่มีการปฏิบัติอย่างทารุณต่อชาวชี่ตานโดย เจ้าเหวินฮุ่ย (อังกฤษ: Zhao Wenhui; จีน: 趙文翽; พินอิน: Zhàowénhuì) ข้าราชการผู้หนึ่งในราชสำนักแห่งราชวงศ์โจวซึ่งประจำอยู่ที่บริเวณหยิงโจว (อังกฤษ: Ying Zhao; จีน: 營州; พินอิน: Yíng zhōu) ซึ่งปัจจุบันคือเมืองโจวหยาง ในมณฑลเหลียวหนิง จึงได้ร่วมกันก่อการกบฏ ซึ่งนำโดยหลี่จิ้นจงผู้ดำรงตำแหน่งเป็นอู๋ซ่างข่าน หรือ อู๋ซ่างเค่อฮั่น (อังกฤษ: Wushang Khan; จีน: 無上可汗; พินอิน: Wú shàng kè hán, แปลตามตัวอักษรว่า "ข่านผู้ไม่มีผู้ใดเหนือกว่า") ในขณะนั้น หากกองทัพที่พระนางบูเช็กเทียนส่งไปปราบปรามหลี่จิ้นจงและซุนว่านหรงนั้นกลับแพ้กองกำลังของชี่ตานกลับมาก ทำให้กองกำลังของชี่ตานฮึกเฮมและรุกรานเข้ามายังอาณาจักรของราชวงศ์โจว
ในขณะเดียวกันผู้นำกลุ่มชนทูจิวตะวันออก (อังกฤษ: Tujue; จีน: 突厥; พินอิน: Tūjué) หรือกลุ่มชนเตอร์กิก คือ อาชรือน่า โม่โท่ว (อังกฤษ: Ashina Mochuo; จีน: 阿史那•默啜; พินอิน: Āshǐnà Mòchuò) ได้เข้าร่วมสงครามเพื่อต่อด้านทั้งอาณาจักรโจวและกลุ่มชนชี่ตาน โดยเขาสามารถนำกองกำลังโจมตีชาวชี่ตานและเอาชัยชนะได้ในช่วงฤดูหนาวของปี ค.ศ. 696 นั้นทำให้หลี่จิ้นจงเสียชีวิตในเวลาต่อมา ทั้งยังจับกุมครอบครัวของหลี่จิ้นจงและซุนว่านหรงด้วย ทำให้กลุ่มชนชี่ตานหยุดการโจมตีต่อต้านอาณาจักรโจวไปชั่วคราว[38] หลังจากที่ซุนว่านหรงได้ขึ้นเป็นผู้นำกลุ่มชนชี่ตานต่อจากพี่เขยของเขาในฐานะข่านองค์ใหม่ เขาได้รวบรวมกองกำลังขึ้นมาใหม่อีกครั้งเพื่อต่อต้านอาณาจักรโจว โดยได้รับชัยชนะเหนือกองทัพโจวในการต่อสู้เผชิญหน้ากันอยู่หลายครั้ง โดยมีครั้งหนึ่งที่หวังซื่อเจีย (Wang Shijie) ถูกสังหารจนเสียชีวิตด้วย[20][38] พระนางบูเช็กเทียนได้พยายามบรรเทาสถานการณ์โดยการสร้างสัมพันธ์ที่ดีและสร้างสันติภาพกับอาชรือน่า โม่โท่ว ด้วยมูลค่าที่สูงมาก คือ การคืนตัวชาวทูจิวที่ถูกส่งมายังอาณาจักรโจวและยังส่งของมีค่า อาทิ เมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ ผ้าไหม อุปกรณ์ใช้สอย และเหล็ก ให้แก่อาชรือน่า โม่โท่ว ด้วย ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 697 อาชรือน่า โม่โท่ว ได้เข้าโจมตีกลุ่มชนชาวซี่ตานอีกครั้ง และในครั้งนี้สามารถเอาชนะจนทำให้กองกำลังของชาวซี่ตานล่มสลาย โดยหัวหน้าของพวกเขาคือซุนว่านหรงก็ถูกสังหารจนเสียชีวิตไปในการต่อสู้ จึงเป็นที่สิ้นสุดของการคุกคามจากซี่ตานในที่สุด[20]
ในปี ค.ศ. 697 เช่นเดียวกันไหลจวิ้นเฉินผู้เคยสูญเสียอำนาจไปในอดีต (ในปี ค.ศ. 693) และกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่งในช่วงนี้นั้นก็ได้สร้างเรื่องใส่ร้ายแก่หลี่เจาเต๋อว่าก่อคดีอาชญากรรม และยังวางแผนใส่ร้ายแก่เจ้าชายหลี่ตั้น เจ้าชายหลี่เจ๋อ และเจ้าหญิงไท่ผิงว่าทรงร่วมกันก่อการกบฏ ซึ่งทั้งสามพระองค์นั้นเป็นเจ้าชายพระราชโอรสและเจ้าหญิงพระราชธิดาแห่งราชตระกูลอู่ในพระนางบูเช็กเทียนด้วย ทำให้เจ้าชายทั้งสองพระองค์และเจ้าหญิงไท่ผิงทรงออกมาปฏิเสธและต่อต้านไหลจวิ้นเฉินเป็นครั้งแรก และกล่าวหาไหลจวิ้นเฉินในคดีอาชญากรรม ทั้งไหลจวิ้นเฉินและหลี่เจาเต๋อจึงถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยกันทั้งคู่ หลังจากการเสียชีวิตของไหลจวิ้นเฉิน หน่วยสืบราชการตำรวจลับของพระนางบูเช็กเทียนก็จบสิ้นลง ผู้ที่เคยถูกจับและดำเนินคดีโดยไหลจวิ้นเฉินจึงถูกประกาศให้พ้นความผิดตามที่เคยถูกกล่าวหาไว้[20] ในช่วงเวลาเดียวกันนี้พระนางบูเช็กเทียนก็เริ่มความสัมพันธ์กับคนรักใหม่ของพระองค์ถึงสองคน คือ พี่น้อง ตระกูลจาง ชื่อ จางอี้จรีอ (อังกฤษ: Zhang Yizhi; จีน: 張易之; พินอิน: Zhāngyìzhī) และ จางชางจง (อังกฤษ: Zhang Changzong; จีน: 張昌宗; พินอิน: Zhāngchāngzōng) ซึ่งต่อมาภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นดยุกทั้งสองคน[20][43]
ในราวปี ค.ศ. 698 อู่เฉิงซื่อ หรือ เจ้าชายแห่งเว่ย (Prince of Wei) และ อู่ซานซือ หรือ เจ้าชายแห่งเหลียง (Prince of Liang) พระนัดดาอีกองค์หนึ่งของพระนางบูเช็กเทียน ได้พยายามให้ข้าราชสำนักโน้มน้าวพระนางบูเช็กเทียนให้แต่งตั้งพระองค์คนใดคนหนึ่งเป็นรัชทายาท โดยอ้างเหตุผลว่าสมเด็จพระจักรพรรดินั้นควรแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ในตระกูลเดียวกันเป็นผู้สืบทอดราชวงศ์ แต่ตี๋เหรินเจี๋ย (อังกฤษ: Di Renjie; จีนตัวเต็ม: 狄仁傑; จีนตัวย่อ: 狄仁杰; พินอิน: Dí Rénjié) ผู้มีตำแหน่งเป็นเสนาบดีที่พระนางบูเช็กเทียนทรงให้ความไว้วางพระทัยมากในขณะนั้นได้ยืนยันต่อต้านความคิดนี้และกลับเสนอให้คืนตำแหน่งรัชทายาทแก่เจ้าชายหลี่เจ๋อด้วย ซึ่งมีผู้สนับสนุนความคิดเห็นของเขาคือ เสนาบดีหวังฟางชิ่ง (อังกฤษ: Wang Fangqing; จีน: 王方慶; พินอิน: Wángfāngqìng) และหวังจี๋ซ่าน (อังกฤษ: Wang Jishan; จีน:王及善; พินอิน: Wángjíshàn) รวมทั้งจี๋ซู (อังกฤษ: Ji Xu; จีน: 吉頊; พินอิน: Jí xū) ผู้เป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของพระนางบูเช็กเทียน โดยจี๋ซูได้ชักชวนให้พี่น้องตระกูลจาง (Zhang) ร่วมสนับสนุนความเห็นนี้ด้วย ในที่สุดพระนางบูเช็กเทียนทรงเห็นด้วยและเรียกให้เจ้าชายหลี่เจ๋อกลับมาจากการถูกเนรเทศ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 698 ซึ่งไม่นานต่อจากนั้นเจ้าชายหลี่ตั้นพระโอรสองค์สุดท้องของพระนางหรืออดีตสมเด็จพระจักรพรรดิถังรุ่ยจงทรงเสนอให้ตำแหน่งเจ้าชายรัชทายาทแก่เจ้าชายหลี่เจ๋อ พระนางบูเช็กเทียนจึงแต่งตั้งเจ้าชายหลี่ตั้นให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าชายรัชทายาท โดยไม่นานต่อจากนั้นก็ทรงเปลี่ยนพระนามเป็น "หลีเสี่ยน (Li Xiǎn)" และเป็น "อู่เซียน (Wu Xian)" ในที่สุด[20]
ต่อมาภายหลัง อาชรือน่า โม่โท่ว เรียกร้องให้เจ้าชายแห่งราชวงศ์ถังอภิเษกสมรสกับบุตรีของตน ซึ่งเป็นแผนในการสร้างสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ถังแทนที่ราชวงศ์โจว และยังเป็นการนำพาราชวงศ์ถังกลับคืนสู่อำนาจภายใต้อิทธิพลของเขาด้วย หากพระนางบูเช็กเทียนกลับส่งอู่หยานซิ่ว (อังกฤษ: Wu Yanxiu; จีน: 武延秀; พินอิน: Wǔ yánxiù) ซึ่งเป็นพระราชปนัดดาในพระนางเองไปอภิเษกกับบุตรีของอาชรือน่า โม่โท่ว แทน ทำให้อาชรือน่า โม่โท่ว ปฏิเสธอู่หยานซิ่วไป[44] เนื่องจากเขามิได้มีความตั้งใจที่จะประสานสันติภาพอย่างจริงใจกับราชวงศ์โจวของพระนางบูเช็กเทียนแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่ออู่หยานซิ่วเดินทางมาถึง เขาจึงกักตัวอู่หยานซิ่วไว้และเปิดการโจมตีครั้งใหญ่กับราชวงศ์โจว โดยรุกล้ำลงมาถึงทางตอนใต้ในบริเวณเจ้าโจว (อังกฤษ: Zhao Prefecture; จีน: 趙州; พินอิน: Zhàozhōu หรือปัจจุบันคือบริเวณฉือเจียจวงในมณฑลเหอเป่ย์) ก่อนที่จะล่าถอยทัพกลับไป[20]
ในปี ค.ศ. 699 การคุกคามจากทูฟานจึงสงบลง กษัตริย์แห่งทูฟาน (อังกฤษ: Tridu Songtsen; Wylie: Khri 'dus-srong btsan) ทรงไม่พอพระทัยที่ลุ่นชินหลิง (อังกฤษ: Lun Qinling; จีน: 論欽陵; พินอิน: Lùn qīnlíng) ได้รวบอำนาจไว้แต่ผู้เดียว พระองค์จึงถือโอกาสขณะที่ลุ่นชินหลิงไม่อยู่ในเมืองลาซาซิ่งเป็นเมืองหลวง ส่งคนเข้าสังหารพวกพ้องของลุ่นชินหลิง และเข้าโจมตีเขาจนเอาชัยชนะได้ ทำให้ลุ่นชินหลิงทำอัตนิบาตกรรมหลังจากนั้นด้วย ลุ่นซ่านโป๋ (อังกฤษ: Lun Zanpo; จีน: 論贊婆; พินอิน: Lùn zànpó) พี่ชายของลุ่นชินหลิง และลุ่นกงเหริน (อังกฤษ: Lun Gongren; จีน: 論弓仁; พินอิน: Lùn gōngrén) บุตรชายของลุ่นชินหลิงจึงได้ยอมจำนนแก่ราชวงศ์โจว หลังจากนั้นทูฟานจึงอยู่ใต้ความวุ่นวายภายในอยู่หลายปี ทำให้เกิดความสงบสันติแต่ชายแดนของอาณาจักรแห่งราชวงศ์โจวด้านเมืองทูฟานในช่วงนั้น[20]
ในปี ค.ศ. 699 เช่นเดียวกันนั้น พระนางบูเช็กเทียนได้ทรงตระหนักว่าพระองค์ทรงมีพระชมน์มายุมากขึ้นแล้ว ทำให้ทรงหวาดกลัวความตายที่จะเยือนมาถึง อีกทั้งเจ้าชายหลี่เสี่ยนและเจ้าชายพระองค์อื่น ๆ ในราชตระกูลอู่ไม่อาจอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ พระนางจึงมีพระบัญชาให้เจ้าชายหลี่ตั้น เจ้าหญิงไท่ผิง พระสวามีคนที่สองของเจ้าหญิงไท่ผิง คือ อู่โยวจี้ หรือเจ้าชายแห่งติง (อังกฤษ: Wu Youji; จีน:武攸暨; พินอิน: Wǔ yōu jì หรือ Prince of Ding) ซึ่งเป็นพระราชนัดดาของพระนางด้วย รวมทั้งเจ้าชายองค์อื่น ๆ ในราชตระกูลอู่ทั้งหมดทรงสาบานร่วมกัน[20]

ช่วงปลายของการครองราชย์[แก้]

Estimated territorial extent of Wu Zetian's empire.
เนื่องจากพระนางบูเช็กเทียนทรงมีพระชมน์มายุสูงขึ้น ทำให้เสนาบดีจางอี้จรีอและจางชางจงมีอำนาจมากขึ้น ทั้งเจ้าชายต่าง ๆ ในราชสกุลอู่ก็ยังสนับสนุนและชื่นชมพวกเขา พระนางบูเช็กเทียนก็ยิ่งมอบหมายให้จางอี้จรีอและจางชางดูแลราชการแทนพระนางมากยิ่งขึ้น ทำให้มีการวิพากย์วิจารณ์อย่างลับ ๆ โดยพระนัดดาของพระนางบูเช็กเทียน หลี่ฉงรุ่น (อังกฤษ: Li Chongrun; จีน: :李重潤; พินอิน:Lǐzhòngrùn) หรือ เจ้าชายแห่งเชา (Prince of Shao) (บุตรของเจ้าชายหลี่เสี่ยน) หลี่เซียนฮุ่ย (อังกฤษ: Li Xianhui; จีน: 李仙蕙 ; พินอิน: Lǐxiānhuì) หรือเจ้าหญิงแห่งย่งไท่ (Lady of Yongtai) (พี่สาวของหลี่ฉงรุ่น) และสามีของหลี่เซียนฮุ่ย คือ อู่หยานจี (อังกฤษ: Wu Yanji ; จีน: 武延基; พินอิน: Wǔyán jī) หรือเจ้าชายแห่งเว่ย (Prince of Wei) (พระปนัดดาแห่งพระนางบูเช็กเทียนและบุตรชายของเจ้าชายอู่เฉิงซื่อ) หากการสนทนานี้ได้เล็ดลอดออกไปจนทำให้จางอี้จรือเข้าถวายรายงานต่อพระนางบูเช็กเทียน พระนางจึงมีรับสั่งให้เจ้าชายเจ้าหญิงทั้งสามพระองค์ทำอัตนิบาตกรรมจนเสียชีวิตในที่สุด[45][46]
และแม้ว่าพระนางจะแก่ชราลงมาก แต่ยังคงให้ความสนใจในการคัดเลือกและเลื่อนตำแหน่งข้าราชการผู้มีความสามารถโดดเด่น โดยมีผู้ที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในช่วงนี้ได้แก่ ซุยสวนเหว่ย (อังกฤษ: Cui Xuanwei; จีน: 崔玄暐; พินอิน: Cuīxuánwěi) and จางเจียเจิน (อังกฤษ: อังกฤษ: Zhang Jiazhen; จีน: 張嘉貞; พินอิน: Zhāngjiāzhēn) เป็นต้น[43]
ปี ค.ศ. 703 อี้จรีอและจางชางจงเกิดความรู้สึกไม่พอใจเว่ยหยวนผู้ซึ่งขณะนั้นอยู่ในตำแหน่งมหาเสนาบดีอาวุโส เนื่องจากเขาได้ปลดพี่น้องแซ่จาง คือ จางชางหยี (Zhang Changyi; จีน: 張昌儀; พินอิน: Zhāngchāngyí) และยังปฏิเสธที่จะเลื่อนตำแหน่งให้แก่พี่น้องแซ่จางอีกคน คือ จางชางชี (Zhang Changqi; จีน: 張昌期; พินอิน: Zhāngchāngqī) ด้วย
นอกจากนั้นก็มีความหวาดกลัวว่าหากพระนางบูเช็กเทียนสิ้นพระชมน์ลง เว่ยหยวนอาจหาทางกำจัด(ฆ่า)พวกเขา พวกเขาจึงวางแผนใส่ร้ายเว่ยหยวนและเกาเจี่ยน (อังกฤษ: Gao Jian; จีน: 高戩; พินอิน: Gāo jiǎn) ข้าราชการอีกคนหนึ่งผู้เป็นที่โปรดปรานและได้รับการสนับสนุนจากองค์หญิงไท่ผิง โดยได้ช้กชวนจางเยว่ (อังกฤษ: Zhang Yue; จีน:  张说; พินอิน:  Zhāng Yuè[47]) ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเว่ยหยวนให้ร่วมมือในครั้งนี้หากแต่เมื่องจางเยว่ถูกนำตัวไปสืบสวนต่อหน้าพระนางบูเช็กเทียนนั้นเขากลับคำให้การว่าจางอี้จรีอและจางชางจงได้บังคับให้เขาเป็นพยานใส่ร้ายทั้งเว่ยหยวน เกาเจี่ยน และจางเยว่จึงถูกเนรเทศแทนการถูกประหารชีวิต[43]
Commemorative stele at Qianling Mausoleum, where Wu Zetian and her husband Emperor Gaozong were buried.

สวรรคต[แก้]

ในฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ. 704 เริ่มมีข้อกล่าวหาด้านการทุจริตต่อจางอี้จรีอและจางชางจง รวมถึงพี่น้องของเขา คือ จางชางชี จางชางหยี และจางถงซิว (อังกฤษ: Zhang Tongxiu; จีน: 張同休; พินอิน: Zhāngtóngxiū) ทำให้จางชางหยีและจางถงซิวถูกปลดจากตำแหน่ง หากแต่สำหรับจางอี้จรีอและจางชางจงนั้น แม้ว่าหลี่เฉิงเจีย (อังกฤษ: Li Chengjia; จีน: 李承嘉; พินอิน: Lǐchéngjiā) และหวนหยานฟ่าน (อังกฤษ: Huan Yanfan; จีน: 桓彥範; พินอิน: Huán yàn fàn) จะเสนอให้ถูกปลดด้วยเช่นกัน แต่พระนางบูเช็กเทียนทรงเชื่อตามคำแนะนำจากเสนาบดีหยางไจ้ซือ (อังกฤษ: Yang Zaisi; จีน: 楊再思; พินอิน: Yáng Zàisī) ที่ไม่ให้ปลดพวกเขาทั้งสอง ต่อมาภายหลังเสนาบดีเหวยอันฉื่อ (อังกฤษ: Wei Anshi; จีน: 韋安石; พินอิน: Wéi'ānshí) จึงได้มีการนำข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตของจางอี้จรีอและจางชางจงกลับมาพิจารณาคดีใหม่อีกครั้ง[43]
ต่อมาในฤดูหนาว ปี ค.ศ. 704 พระนางบูเช็กเทียนทรงพระประชวรหนัก ในช่วงนั้นมีเพียงพี่น้องตระกูลจางเท่านั้นที่ได้รับพระราชานุญาตให้เข้าเฝ้าพระนางได้ ซึ่งแม้แต่เสนาบดีต่าง ๆ ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้า ทำให้จางอี้จรีอและจางชางจงถูกสงสัยว่ากำลังวางแผนจะช่วงชิงพระราชบัลลังก์รวมถึงมีข่าวลือเรื่องการก่อการกบฏอยู่หลายครั้ง เมื่อพระนางบูเช็กเทียนทรงมีพระอาการดีขึ้น ซุยสวนเหว่ยได้เสนอแก่พระนางเพื่อให้มีเพียงเจ้าชายหลีเสี่ยนและเจ้าชายหลี่ตั้นได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าพระนางได้เท่านั้น หากแต่พระนางบูเช็กเทียนไม่ทรงเห็นด้วย ต่อจากนั้นมาก็ยังมีข้อกล่าวหาต่อพี่น้องจางโดยหวนหยานฟ่าน (อังกฤษ: Huan Yanfan; จีน: 桓彥範; พินอิน: Huán yàn fàn) และซ่งจิ่ง (อังกฤษ: Song Jing; จีน: 宋璟; พินอิน: Sòng jǐng) พระนางบูเช็กเทียนจึงทรงอนุญาตให้ซ่งจิ่งทำการสอบสวนในเรื่องนี้ได้ แต่ไม่นานต่อจากนั้น ในระหว่างที่การสืบสวนยังไม่สำเร็จลง พระนางทรงมีรับสั่งให้อภัยโทษแก่จางอี้จรีอและยกเลิกการสอบสวนของซ่งจิ่งลงกลางคัน.[43]
Commemorative stele at Qianling Mausoleum, where Wu Zetian and her husband Emperor Gaozong were buried.
ในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 705 พระนางบูเช็กเทียนในวัย 82 พรรษาทรงพระประชวรหนักอีกครั้ง อัครมหาเสนาบดีจาง เจี่ยนจือและพวกจึงร่วมกันก่อรัฐประหารและวางแผนสังหารพี่น้องตระกูลจาง อันมี จางเจี่ยนจือ จิ้งฮุย (อังกฤษ: Jing Hui; จีน: 敬暉; พินอิน: Jìng huī) และ หยวนซู่จี่ (อังกฤษ: Yuan Shuji; จีน: 袁恕己; พินอิน: Yuánshùjǐ) อีกทั้งยังชักชวนให้นายพลหลี่ตัวจั้ว (อังกฤษ: Li Duozuo; จีน: 李多祚; พินอิน: Lǐ Duōzuò) หลี่จ้าน (อังกฤษ: Li Dan; จีน: 李湛; พินอิน: Lǐ zhàn; หมายเหตุ 李湛, ใช้ตัวอักษรต่างจากพระนามของเจ้าชายหลี่ต้านหรือสมเด็จพระจักรพรรดิถังรุ่ยจง) และ หยางหยวนหย่าน (อังกฤษ: Yang Yuanyan; จีน: 楊元琰; พินอิน: Yángyuányǎn) รวมถึงเสนาบดีอีกคนหนึ่งคือ เหยาฉง (อังกฤษ: Yao Yuanzhi; จีน: 姚崇; พินอิน: Yáo Chóng) เข้าร่วมด้วย และได้กระทำการในวันที่ 20 กุมภาพันธ์[3]
โดยเริ่มจากการสังหารจางอี้จรีอและจางชางจง ต่อจากนั้นจึงนำกำลังเข้าล้อมพระตำหนักฉางเชิงเตี้ยน (อังกฤษ: Changsheng Hall; จีน: 長生殿; พินอิน: Chángshēng diàn) อันเป็นที่ประทับของพระนางบูเช็กเทียน และเพ็ดทูลแก่พระนางบูเช็กเทียนว่าพี่น้องตระกูลจางได้ก่อการกบฏ จึงเสนอให้พระนางมอบพระราชบัลลังก์แก่เจ้าชายหลี่เจ๋อ (หรือพระนามเดิมคือ หลี่เสี่ยน) ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ จึงมีการประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เจ้าชายหลี่เจ๋อเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระนาง และภายในวันต่อมาคือในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ได้มีพระบรมราชโองการอีกครั้งโดยมอบพระราชบัลลังก์ให้แก่เจ้าชายหลี่เจ๋อ
ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ เจ้าชายหลี่เจ๋อจึงทรงขึ้นครองพระราชบัลลังก์ต่อ เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิถังจงจง ส่วนพระนางบูเช็กเทียนนั้นทรงถูกควบคุมตัวไปยังพระตำหนักรอง คือพระตำหนักซ่างหยางกง (อังกฤษ: Shangyang Palace; จีน: 上陽宮; พินอิน: Shàngyáng gōng) แต่พระนางก็ยังคงได้รับการยกย่องในฐานะ “Empress Regnant Zetian Dasheng (則天大聖皇帝)”[43] ต่อมาในวันที่ 3 มีนาคม[48] พระองค์ทรงรื้นฟื้นราชวงศ์ถังขึ้นใหม่ และให้กลับมาใช้ชื่อราชวงศ์ถังดังเดิม ราชวงศ์โจวที่พระนางทรงก่อตั้งขึ้นมานาน 14 ปี จึงเป็นอันสิ้นสุดลง[42] ส่วนพระนางบูเช็กเทียนทรงสิ้นพระชมน์ในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 705[8] [39]
ในปี ค.ศ. 706 พระโอรสของพระนางบูเช็กเทียน คือสมเด็จพระจักรพรรดิ์ถังจงจง ทรงให้มีการฝังพระศพของพระนางร่วมกับพระศพของสมเด็จพระจักรพรรดิ์ถังเกาจงไว้ในสุสานเฉียนหลิงซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงฉางอานในขณะนั้น ปัจจุบันอยู่ในเขตมณฑลส่านซีทางภาคตะวันตกของประเทศจีน สุสานเฉียนหลิงจึงเป็นที่ฝังพระศพของสมเด็จพระจักรพรรดิ์สององค์เพียงแห่งเดียวในประวัติศาสตร์จีนอันยาวนานกว่า 2,000 ปี ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิ์ในสองราชการและเป็นคู่สามีภรรยากัน โดยมีการตั้งแท่นศิลาจารึกอยู่บริเวณหน้าสุสาน แท่นศิลาจารึกนี้เป็นหินก้อนเดียว สูงประมาณ 10 เมตร กว้าง 2 เมตร มีการแกะสลักสวยงามประณีต แต่ไม่มีตัวอักษรใดบนจารึกนี้ นักประวัติศาสตร์บางคนเห็นว่าเนื่องจากพระนางบูเช็กเทียนทรงโค่นล้มระบบอำนาจผู้ชายที่สืบทอดกันมาของจีน พระนางทรงรู้ว่าตนเองมีความผิดใหญ่มาก จึงมิกล้าแต่งข้อความสรรเสริญตนเอง บางคนเห็นว่าสาเหตุคือพระนางบูเช็กเทียนร่วมฝังกับพระศพของสมเด็จพระจักรพรรดิ์ถังเกาจง จึงทรงไม่รู้จะใส่นามสกุลและชื่อราชวงค์ของตนอยู่หน้าหรือหลังนามสกุลของจักรพรรดิ์ถังเกาจงจึงจะเหมาะสม จึงใช้ศิลาจารึกที่ไม่มีตัวอักษรเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ แต่ผู้คนส่วนข้างมากเห็นว่า การที่พระนางบูเช็กเทียนตั้งศิลาจารึกที่ไม่มีตัวอักษรนั้นเป็นการกระทำที่ฉลาด เนื่องจากพระนางทรงรู้ว่าคนรุ่นหลังอาจจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานาต่อพระนาง การแต่งประวัติบนศิลาจารึกไม่สามารถรวบรวมเรื่องราวอันหลากหลายชั่วชีวิตของตนได้ จึงตั้งศิลาจารึกที่ไม่มีตัวอักษร เพื่อให้คนรุ่นหลังวิจารณ์กันเองแทน[49]
สมเด็จพระจักรพรรดินีบูเช็กเทียนทรงเป็นผู้มีพระปรีชาสามารถในการปกครองบ้านเมืองมาก โดยทรงส่งเสริมการเกษตร ลดหย่อนภาษี การสอบเข้ารับราชการ เป็นต้น ภายใต้การปกครองของพระนางที่ทรงครองราชสมบัติ 14 ปี ประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ถังมีกำลังเข้มแข็งและมีเสถียรภาพทางสังคม รวมถึงมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจก้าวหน้าไปเป็นอันมาก
ราชวงศ์โจวที่สอง (ค.ศ. 690–705): Convention: use personal name
ชื่อวัดชื่อสกุล และชื่อช่วงเวลาที่ครองราชย์รัชศก (Era names) และช่วงเวลาแห่งรัชศกนั้น
ไม่มีอู่เจ้า
(พินอิน: Wǔ Zhào; จีน: 武曌)
ค.ศ.
690–705
เทียนโชว่ (พินอิน: Tiānshòu; จีน: 天授): 16 ตุลาคม ค.ศ. 690 – 21 เมษายน ค.ศ. 692 (18 เดือน)
รู่ยี่ (พินอิน: Rúyì; จีน: 如意): 22 เมษายน – 22 ตุลาคม ค.ศ. 692 (6 เดือน)
ฉางโชว่ (พินอิน: Chángshòu; จีน: 長壽): 23 ตุลาคม ค.ศ. 692 – 8 มิถุนายน ค.ศ. 694 (19 ½ เดือน)
เหยียนไจ้ (พินอิน: Yánzài; จีน: 延載): 9 มิถุนายน ค.ศ. 694 – 21 มกราคม ค.ศ. 695 (7 ½ เดือน)
เจ้งเชิ่ง (พินอิน: Zhèngshèng; จีน: 證聖): 22 มกราคม – 21 ตุลาคม ค.ศ. 695 (9 เดือน)
เทียนเซอว่านซุ่ย (พินอิน: Tiāncèwànsuì; จีน: 天冊萬歲): 22 ตุลาคม ค.ศ. 695 – 19 มกราคม ค.ศ. 696 (3 เดือน)
ว่านซุ่ยเติงเฟิง (พินอิน: Wànsuìdēngfēng; จีน: 萬歲登封): 20 มกราคม – 21 เมษายน ค.ศ. 696 (3 เดือน)
ว่านซุ่ยทงเทียน (พินอิน: Wànsuìtōngtiān; จีน: 萬歲通天): 22 เมษายน ค.ศ. 696 – 28 กันยายน ค.ศ. 697 (17 เดือน)
เฉิงกง (พินอิน: Shéngōng; จีน: 神功): 29 กันยายน – 19 ธันวาคม ค.ศ. 697 (2 ½ เดือน)
เชิ่งลี่ (พินอิน: Shènglì; จีน: 聖曆): 20 ธันวาคม ค.ศ. 697 – 26 พฤษภาคม ค.ศ. 700 (29 เดือน)
จิ่วซื่อ (พินอิน: Jiǔshì; จีน: 久視): 27 พฤษภาคม ค.ศ. 700 – 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 701 (8 ½ เดือน)
ต้าสู (พินอิน: Dàzú; จีน: 大足): 15 กุมภาพันธ์ – 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 701 (9 ½ เดือน)
ฉางอัน (พินอิน: Cháng'ān; จีน: 長安): 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 701 – 29 มกราคม ค.ศ. 705 (38 เดือน)
เฉินหลง (พินอิน: Shénlóng; จีน: 神龍): 30 มกราคม – 3 มีนาคม ค.ศ. 705 (ราชวงศ์โจวสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 705 และราชวงศ์ถังได้รับการฟื้นฟูกลับมาในวันเดียวกัน but the Shenlong era ถูกใช้ต่อโดยสมเด็จพระจักรพรรดิถังจงจงจนถึงปี ค.ศ. 707)

การทำนุบำรุงพระศาสนา[แก้]

พระศรีอริยเมตไตรย statue from the reign of Wu Zetian

คณะเสนาบดีในระหว่างการครองราชย์[แก้]

ดูบทความหลักที่: List of Chancellors of Wu Zetian
พระนางบูเช็กเทียนทรงมีคณะเสนาบดีจำนวนมากในขณะที่พระนางทรงครองราชบัลลังก์ในฐานะกษัตริย์ในราชวงศ์โจวแห่งราชอาณาจักรจีน มีเสนาบดีจำนวนมากที่เป็นเชื้อพระวงศ์หรือมาจากตระกูลผู้ดีและเป็นผู้มีความโดดเด่นในความสามารถ (ดูรายนามชื่อเพิ่มเติมที่ List of Chancellors of Wu Zetian)

การสร้างอำนาจผ่านวรรณกรรม[แก้]

กล่าวกันว่าวรรณกรรมที่เขียนขึ้นในยุคนั้นมีบางส่วนที่ประพันธ์ขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในเสริมสร้างพระราชอำนาจให้แก่พระนางบูเช็กเทียน

วรรณกรรม[แก้]

มุมมองทางประวัติศาสตร์[แก้]

มุมมองทางประวัติศาสตร์จีนที่มีต่อพระนางบูเช็กเทียนมีหลากหลาย ทั้งความชื่นชมที่มีต่อตัวพระนางในความสามารถในการบริหารจัดการบ้านเมือง หากแต่ประณามพระนางในด้านการยึดอำนาจแห่งราชสำนักมาเป็นของตนเอง
หลัวปินหวัง หนึ่งในสี่กวีที่มีชื่อเสียงที่สุดในช่วงต้นราชวงศ์ถัง ได้เขียนบทกวีและข้อความวิพากษ์วิจารณ์พระนางบูเช็กเทียนอยู่หลายครั้ง ทั้งยังสนับสนุนการก่อการกบฏของหลี่จิ่งเย่ (อังกฤษ: Li Jingye; จีน: 李敬業; พินอิน: Lǐ jìngyè) ด้วย หลิวซู (Liu Xu) นักประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์โฮ่วจิ้นและผู้เป็นบรรณาธิการหนังสือชื่อ "หนังสือแห่งราชวงศ์ถัง (Book of Tang)"[50] ได้มีความเห็นในเรื่องนี้ไว้ว่า
The year that Lady Wu declared herself regent, heroic individuals were all mournful of the unfortunate turn of events, worried that the dynasty would fall, and concerned that they could not repay the grace of the deceased emperor [i.e., Emperor Gaozong] and protect his sons. Soon thereafter, great accusations arose, and many innocent people were falsely accused and stuck their necks out in waiting for execution. Heaven and earth became like a huge cage, and even if one could escape it, where could he go? That was lamentable. In the past, the trick of covering the nose[51] surprised the realm in its poisonousness, and the disaster of the human pig[52] caused the entire state to mourn. In order to take over as empress, Empress Wu strangled her own infant daughter; her willingness to crush her own flesh and blood showed how great her viciousness and vile nature was, although this is nothing more than what evil individuals and jealous women might do. However, she accepted the words of righteousness and honored the upright. Although she was like a hen that crowed, she eventually returned the rightful rule to her son. She quickly dispelled the accusation against Wei Yuanzhong, comforted Di Renjie with kind words, respected the will of the times and suppressed her favorites, and listened to honest words and ended the terror of the secret police officials. This was good, this was good.
ยังมึความคิดเห็นอันหลากหลายจากมุมมองสมัยใหม่ที่มีต่อพระนางบูเช็กเทียนโดยนักเขียนต่างชาติ (modern non-Chinese authors) อาทิ:
"บูเช็กเทียน (ปี ค.ศ. 690–705) เป็นหญิงที่พิเศษ มีเสน่ห์ มีพรสวรรค์ มีความเฉลียวฉลาดและมีความสามารถพิเศษด้านการเมืองการปกครองและในการวิเคราะห์คน ด้วยความมุ่งมั่นของพระนาง ทำให้ทรงเอาชนะการต่อต้านจากล้ทธิขงจื้อได้ด้วยตัวของพระนางเอง โดยมิได้ใช้อำนาจหนุนหลังจากวงศ์ตระกูลหรือครอบครัวเหมือนดังหญิงในราชสำนักผู้อื่นแต่อย่างใด หากแต่การขึ้นสู่อำนาจของพระนางนั้นคราคร่ำอยู่บนกองเลือด...." แอน พัลลูดาน (Ann Paludan) นักประพันธ์หนังสือประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และประติมากรรมจีนหลายเล่ม[53]
"ในความน่ากลัวของประวัติศาสตร์จีนโบราณ เหล่าสมาชิกในระดับ shih ที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในสมัยราชวงศ์ถัง ถูกท้าทายอย่างใหญ่หลวงจากการที่อดีตนางสนมผู้หนึ่งซึ่งสามารถช่วงชิงพระราชบัลลังก์มาได้ในที่สุด แม้ว่าเธอจะเป็นผู้ไร้ความเมตตาปราณีต่อศัตรูแต่ช่วงเวลาแห่งการครองราชย์ของพระนางถือว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน ราชสำนักมีความมั่นคง ไม่มีกบฏ ทั้งไม่มีการละเมิดล่วงทางด้านการทหาร มีการบริหารจัดการที่โดดเด่น และสามารถยึดครองเกาหลีได้ เป็นความสำเร็จอันมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน" ยงแย็บ คอตเธอร์เรลล์ (Yong Yap Cotterell) และอาร์เธอร์ คอตเธอร์เรลล์(Arthur Cotterell)[54]
"ในฐานะสมเด็จพระจักรพรรดินีหญิงคนเดียวของประเทศจีน พระนางบูเช็กเทียนนั้นทรงมีทักษะและความสามารถอันน่าทึ่งมาก หากการฆาตกรรมและการกระทำอันผิดกฎหมายต่าง ๆ เพื่อให้พระนางได้มาซึ่งอำนาจและรักษาอำนาจนั้นไว้ ทำให้ชื่อเสียงของพระนางไม่เป็นที่นิยมในหมู่ข้าราชสำนักเพศชายนัก ทั้งยังมีการส่งเสริมให้มีการรับบุคคลเป็นข้าราชสำนักในจำนวนที่มากเกินไป รวมถึงการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากด้วย" จอห์น คิง แฟร์แบงค์ (John King Fairbank) นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์จีน ชาวอเมริกัน[55]

มุมมองของลัทธิขงจื้อ[แก้]

พระนางบูเช็กเทียนทรงอยู่ในสมัยที่ยึดถือขนบประเพณีอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจของผู้ชายต้องอยู่เหนือผู้หญิง ขงจื๊อแม้จะเป็นนักคิดที่น่ายกย่องแต่กับผู้หญิงแล้วก็มีอคติอย่างรุนแรง เช่น ผู้หญิงต้องประกอบด้วย 3 เชื่อฟัง 4 คุณธรรม คือ ยังไม่ออกเรือนต้องเชื่อฟังบิดา ออกเรือนแล้วต้องเชื่อฟังสามี สามีสิ้นชีวิตแล้วต้องเชื่อฟังบุตรชาย ต้องมีศีลธรรม พูดจาเรียบร้อย กิริยามารยาทดี การฝีมือดี
พระนางบูเช็กเทียนทรงต่อต้านความไม่เป็นธรรมต่อผู้หญิงอย่างสุดชีวิต ต่อต้านอิทธิพลอันไม่เป็นธรรมจากอำนาจผู้ชาย ต่อต้านกับกรอบประเพณีที่ให้ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน และต่อต้านขนบประเพณีต่าง ๆ อีกมากที่มุ่งแต่จะบีบคั้นและกดผู้หญิงทุกอย่าง สิ่งเหล่านี้ขัดกับความเชื่อของสังคมจีนที่ผู้ชายเป็นใหญ่ในขณะนั้นเป็นอย่างยิ่ง
การขึ้นมามีอำนาจและครองราชบัลลังก์ของพระนางบูเช็กเทียนนั้นถูกวิพากย์วิจารณ์จากนักประวัติศาสตร์ที่นิยมลัทธิขงจื๊ออย่างรุนแรง แต่หากได้รับมุมมองที่แตกต่างออกไปหลังจากช่วงปี ค.ศ. 1950
ในช่วงต้นของราชวงศ์ถัง เนื่องจากสมเด็จพระจักรพรรดิองค์ต่าง ๆ เป็นเชื้อสายจากพระนางบูเช็กเทียน ข้อเขียนทางประวัติศาสตร์นั้นเกี่ยวกับพระนางจึงค่อนข้างไปในด้านดี แต่ความคิดเห็นในช่วงเวลาต่อมา โดยเฉพาะในหนังสือจือจื้อทงเจี้ยน (อังกฤษ: Zizhi Tongjian หรือ Tzu-chih Tung-chien; จีนตัวย่อ: 资治通鉴; จีนตัวเต็ม: 資治通鑑; พินอิน: Zīzhì Tōngjiàn; แปลตามตัวอักษรว่า "กระจกที่ครอบคลุมเพื่อช่วยร้ฐบาล (Comprehensive Mirror to Aid in Government)") ที่เรียบเรียงเขียนโดยซือหม่ากวง (อังกฤษ: Sima Guang; จีนตัวย่อ: 司马光; จีนตัวเต็ม: 司馬光; พินอิน: Sīmǎ Guāng; ค.ศ. 1019 – 1086) ได้วิจารณ์พระนางบูเช็กเทียนอย่างหนัก

ผลงานทัศนศิลป์เกี่ยวกับพระนางบูเช็กเทียน[แก้]

มีผลงานมากมายทั้งนวนิยาย ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และเกมส์คอมพิวเตอร์ ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงพระนางบูเช็กเทียน ดังนี้

นวนิยาย[แก้]

  • บทบาทในนวนิยายของพระนางบูเช็กเทียนปรากฏร่วมกับ ตี๋ เหรินเจี๋ย (Judge Dee) ในหนังสือนวนิยายชื่อ "ความหลอกลวง: นวนิยายแห่งความลึกลับและบ้าคลั่งของยุคจีนโบราณ (Deception: A Novel of Mystery and Madness in Ancient China)" ประพันธ์โดย อเลนอร์ คูนี่ย์ (Eleanor Cooney) และ แดเนียล อัลเทอร์รี่ (Daniel Alteri)
  • หนังสือนวนิยายชื่อ "เด็กชายที่กำลังเดิน (The Walking Boy)" ประพันธ์โดย ลินดา กวา (Lydia Kwa) ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2005 โดยสำนักพิมพ์คีย์พอร์เตอร์บุ๊กส์ (Key Porter Books) ประเทศแคนาดา
  • หนังสือประวัติศาสตร์ชื่อ "คุณนายอู่ (Lady Wu)" ประพันธ์โดย หลินอยู่ถัง (อังกฤษ: Lin Yutang; จีน: 林语堂; พินอิน: Lín Yǔtáng); โดยรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ วิจัยอย่างละเอียด รวมทั้งการเล่าเรื่องให้เห็นถึงด้านลบของหญิงผู้มาเป็นจักรพรรดินีของจีน
  • หนังสือนวนิยายอิงชีวประวัติชื่อ "ออร์เพรราทรีซสึ Impératrice (ภาษาฝรั่งเศส) ประพันธ์โดยซานซา (Shan Sa) (เกิดในเมืองปักกิ่ง) and based on Empress Wu's life. แปลเป็นภาษาอังกฤษ ชื่อ "เอ็มเพรส หรือ สมเด็จพระจักรพรรดินี (Empress)" ; ในภาษาญี่ปุ่น ชื่อ "โจเทอิ วากา นะ วะ โซคุเทน บูโก (Jotei: Waga na wa Sokuten Bukō (女帝: わが名は則天武后, แปลว่า "จักรพรรดิหญืง: ฉันชื่อบูเช็กเทียน"))"; และในภาษาเยอรมัน ชื่อ "ไคเซอร์ริน (Kaiserin)"'
  • นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ชื่อ "เอ็มเพรส หรือ สมเด็จพระจักรพรรดินี (Empress)" ประพันธ์โดยเอเวอร๋ลีน แม็คคูน (Evelyn McCune) เป็นเรื่องราวของอู่เจ้าตั้งแต่ในวัยรุ่นตอนต้น โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางกับสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังทั้งสองพระองค์ รวมถึงในขณะที่พระนางทรงขึ้นครองราชย์ปกครองบ้านเมืองด้วยพระองค์เองในฐานะจักรพรรดินีด้วย ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1994 โดยสำนักพิมพ์บัลลาทีนบุ๊กส์ (Ballantine Books)
  • หนังสือนวนิยายอิงชีวประวัติชื่อ "พระสนมอู่เจ้า (Cairen Wu Zhao)" ประพันธ์โดยนักประพันธ์นวนิยายจีนชื่อ ซูถง ซึ่งบรรยายชีวิตและประสบการณ์ด้านอารมณ์ของพระนางบูเช็กเทียน
  • หนังสือชื่อ "อาณาจักรของสตรี (Isle of Woman)" ประพันธ์โดยปิแอร์ แอนโทนี่ (Piers Anthony) ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1993 โดยสำนักพิมพ์ทอร์แฟนตาซี (Tor Fantasy) ประกอบด้วยเรื่องราวในช่วงระยะเวลาของการขึ้นสู่อำนาจของพระนางบูเช็กเทียน
  • หนังสือนวนิยโรแมนติกอิงประวัติศาสตร์ของสมเด็จพระจักพรรดินีชื่อ "มังกรเขียวและเสือขาว (Green Dragon, White Tiger)" ประพันธ์โดยนักเขียนชาวไอริชชื่อ แอนเน็ตต์ มอตลี่ (Annette Motley) ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1988 โดยสำนักพิมพ์ออนนิกซ์ (Onyx)
  • นวนิยายกำลังภายในอิงประวัติศาสตร์ชื่อ " (Nüdi Qiying Zhuan; 女帝奇英傳)" ประพันธ์โดย เนี่ย อู้เซ็ง
  • หนังสือนวนิยายกำลังภายในอิงประวัติศาสตร์ชื่อ "พระอาทิตย์และพระจันทร์บนท้องฟ้า หรือ รื่อเยว่ตางคง (อังกฤษ: Ri Yue Dang Kong หรือ The sun and the moon in the sky; จีน: 日月當空)" ประพันธ์โดย หวงอื้

ภาพยนตร์[แก้]

  • จักรพรรดินีบูเช็กเทียน หรือ อู่เจ๋อเทียน (The Empress Wu Tse-Tien; 武則天), ภาพยนตร์จีนสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1939 แสดงโดย ไวโอเล็ต โค (Violet Koo; 顧蘭君)
  • จักรพรรดินีบูเช็กเทียน หรือ อู่เจ๋อเทียน (Empress Wu Zetian; 武則天), ภาพยนตร์ฮ่องกงสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1949 แสดงโดย ฮุงซัวหมาน (Hung Sau-man; 孔繡雲).
  • จักรพรรดินีบูเช็กเทียน หรือ อู่เจ๋อเทียน (The Empress Wu Tse-tien; 武則天), ภาพยนตร์ฮ่องกงสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1963 ผลิตโดยชอว์ บราเดอร์ส สตูดิโอ (Shaw Brothers Studio) แสดงโดย หลี่ลี่หว่า (Li Li-hua; 李麗華).
  • ลิ่วจู่ หุ้ยเน็งฉวน (Master Hui Neng; 六祖慧能傳), ภาพยนตร์จีนไต้หวันสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1987 นำแสดงโดย หลิง ปอ เป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • ตี๋เหรินเจี๋ย ดาบทะลุคนไฟ (Detective Dee, Detective Dee and the Mystery of the Phantom Flame; 狄仁傑之通天帝國), ภาพยนตร์สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2010 นำแสดงโดย หลิว เจียหลิง เป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • ตี๋เหรินเจี๋ย ผจญกับดักเทพมังกร (Young Detective Dee: Rise of the Sea Dragon; 狄仁杰之神都龙王), ภาพยนตร์สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2013 นำแสดงโดยหลิว เจียหลิง เป็นพระนางบูเช็กเทียน.

ละครโทรทัศน์[แก้]

  • จักรพรรดินีบูเช็กเทียน หรือ อู่เจ๋อเทียน (Wu Zetian; 武則天), ละครโทรทัศน์ฮ่องกง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1976 โดยคอมเมอร์เชี่ยลเทเลวิชั้น (Commercial Television) มี หลี่ทงหมิง (Lee Tong-ming; 李通明) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียน และเซียงยี (Seung Yee; 湘漪) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียนในวัยชรา.
  • จักรพรรดินีบูเช็กเทียน หรือ อู่เจ๋อเทียน(Empress Wu; 武則天), ละครโทรทัศน์ฮ่องกง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1984 โดยเอทีวี (ATV), แสดงโดย เพรตทีน่า ฟุง (Petrina Fung).
  • จักรพรรดินีแห่งราชวงศ์ หรือ อี๋ไต้นู่วฮวง (The Empress of the Dynasty; 一代女皇), ละครโทรทัศน์จีนไต้หวัน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1985 โดยซีทีวี (CTV), นำแสดงโดย แองเจล่า พาน (Angela Pan).
  • จักรพรรดิ หรือ ถังหมิงฮวง (Tang Ming Huang; 唐明皇), ละครโทรทัศน์จีนไต้หวัน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1990 ฉายในซีซีทีวี 1, เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระจักรพรรดิถังเสวียนจง โดยมี จูหลิน (Zhu Lin) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • จักรพรรดินีบูเช็กเทียน หรือ อู่เจ๋อเทียน (Wu Zetian; 武則天), ละครโทรทัศน์จีน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1995 โดยซีซีทีวี (CCTV), นำแสดงโดย หลิว เสี่ยวชิง (Liu Xiaoqing).
  • เรื่องราวความรักแห่งเทพนิยาย หรือ จิ้นฮัวหยวนฉวนฉี (The Love Story in the Fantasyland; 鏡花緣傳奇), ละครโทรทัศน์ฮ่องกง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2000 โดยเอทีวี (ATV) สร้างจากเรื่องราวในนวนิยายเรื่องดอกไม้ในกระจก (Flowers in the Mirror) นำแสดงโดย วาง หมิงฉวน เป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • ต้าหมิงกงสือ (Palace of Desire; 大明宮詞), ละครโทรทัศน์จีน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2000 โดยซีซีทีวี (CCTV), มีองค์หญิงไท่ผิง พระธิดาในพระนางบูเช็กเทียน เป็นตัวละครเอก และ กุ้ยย่าเล่ย (Kuei Ya-lei) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • ตำนานรักราชวงศ์ถัง หรือ ต้าถังฉิงชื่อ (Love Legend of the Tang Dynasty; 大唐情史), ละครโทรทัศน์จีน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2001 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหญิงเกาหยาง (Princess Gaoyang) พระราชธิดาในจักรพรรดิไท่จง โดยมี ชินหลาน (Qin Lan) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียนในวัยพระเยาว์.
  • เทียนจื่อสุนหลง (Whatever It Takes; 天子尋龍), ละครโทรทัศน์ฮ่องกง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2003 โดยทีบีวี (TVB) โดยมีโหลกวนหลาน (Law Koon-lan; 羅冠蘭) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • จื้อซุน หงเหยียน (Zhizun Hongyan; 至尊紅顏), ละครโทรทัศน์จีนไต้หวัน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2004 โดยซีทีเอส (CTS) นำแสดงโดยอลีซา เจีย หรือ เจียจิ้งเหวิน (Alyssa Chia; 賈靜雯) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • เฉินถ้านตี๋เหรินเจี๋ย (Amazing Detective Di Renjie; 神探狄仁傑), ละครโทรทัศน์จีนมีทั้งหมด 4 ภาค เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ตี๋ เหรินเจี๋ย ออกอากาศในปี ค.ศ. 2004 ถึง ค.ศ. 2010 ช่องซีซีทีวี 8 (CCTV-8) โดยมีนักแสดงนำ คือ หลูจง (Lü Zhong; 呂中) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • อู๋ซื่อเปยเกอ (Wu Zi Bei Ge; 無字碑歌), ละครโทรทัศน์จีน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2006 นำแสดงโดย ซีฉิน เกาหว๋า (Siqin Gaowa) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • เจินกวนจือจื้อ (Zhen Guan Zhi Zhi; 貞觀之治), ละครโทรทัศน์จีน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2006 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการครองราชย์ของสมเด็จพระจักรพรรดิถังไท่จง โดยมี จางตี๋ (Zhang Di; 張笛) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียนในวัยพระเยาว์
  • บูเช็คเทียน จอมนางเหนือแผ่นดิน (日月凌空), ละครโทรทัศน์จีน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2007 โดย ซีซีทีวี (CCTV) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระนางบูเบ็กเทียน (แสดงโดย หลิว เสี่ยวชิง (Liu Xiaoqing)) กับข้าราชการนักสืบหญิงชื่อ เซี่ยเยาฮวน (Xie Yaohuan) (แสดงโดย หวง เชิ่งอี).
  • วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ หรือ เชิ่งชื่อเหรินเจี๋ย (The Greatness of a Hero; 盛世仁傑), ละครโทรทัศน์ฮ่องกง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2009 โดย ทีวีบี (TV) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ตี๋ เหรินเจี๋ยโดยมีรีเบกก้า ชาน (Rebecca Chan) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • (Secret History of Empress Wu; 武則天祕史), ละครโทรทัศน์จีน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2011 โดยหูหนานทีวี (Hunan TV) มีนักแสดงนำที่แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียน 3 คน แสดงเป็นพระนางในช่วงวัยต่าง ๆ กัน คือ หยินเทา (Yin Tao; 殷桃) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียนในวัยพระเยาว์ หลิว เสี่ยวชิง (Liu Xiaoqing) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียนในช่วงวัยกลางคน และซีฉิน เกาหว๋า (Siqin Gaowa) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียนในวัยชรา
  • ต้าถังหนู่ซุนอ้าน (Da Tang Nü Xun An; 大唐女巡按), ละครโทรทัศน์จีน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2011 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ เซี่ยเยาฮวน (Xie Yaohuan) ข้าราชการนักสืบหญิงที่คอยรับใช้พระนางบูเช็กเทียนอยู่ในราชสำนัก โดยมี อาเจียว แสดงเป็นเซี่ยเยาฮวน และหวังจี (Wang Ji; 王姬) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • ถังกงเหม่ยเหรินเทียนเซี่ย (Beauty World; 唐宮美人天下), ละครโทรทัศน์จีน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2011 นำแสดงโดย จางทิง (Zhang Ting; 張庭) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • สตรีแห่งราชสำนักราชวงศ์ถัง หรือ ถังกงเหยี่ยนจือหนู่เหรินเทียนเซี่ย (Women of the Tang Dynasty; 唐宮燕之女人天下), ละครโทรทัศน์จีน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2013 นำแสดงโดย คาร่าฮุย (Kara Hui) แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • เซี่ยวเหนียนเฉินทั่วตี๋เหรินเจี๋ย (Young Sherlock; 少年神探狄仁傑), ละครโทรทัศน์จีน โดยมี หลิน ซินหรู แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • จักรพรรดินีบูเช็กเทียน หรือ อู่เจ๋อเทียน (The Empress of China; 武則天), ละครโทรทัศน์จีน โดยมี ฟ่าน ปิงปิง แสดงเป็นพระนางบูเช็กเทียน.
  • ตอนที่มีชื่อว่า "The Blind Banker" จากละครโทรทัศน์ เรื่องเชอร์ล็อก (Sherlock) โดยบีบีซี (the BBC television series) เกี่ยวกับปิ่นปักผมทำจากหยกที่ถูกโขมยไป ซึ่งเป็นปิ่นปักผมของพระนางบูเช็กเทียน

เกมคอมพิวเตอร์[แก้]

  • พระนางบูเช็กเทียนในฐานะผู้นำของประเทศจีนในเกมส์อารยธรรมของซิดไมเออร์ครั้งที่สอง (Sid Meier's Civilization II; 1996) อารยธรรมครั้งที่ห้า Civilization V; 2010) และยุคของเอมไพร์ที่สอง ยุคแห่งกษัตริย์ (Age of Empires II: The Age of Kings; 1999) โดยบริษัทไมโครซอฟท์คอร์ปอร์เรชั่น (Microsoft Corporation)

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิงและเชิงอรรถ[แก้]

  1. กระโดดขึ้น อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ReignStartDate
  2. กระโดดขึ้น Wu was partially in control of power since approximately 660 and her power was even more paramount after January 665. Her Zhou dynasty was proclaimed on October 16, 690, and she proclaimed herself Empress Regnant on October 19, demoting her son Emperor Ruizong to the rank of crown prince with the unusual title of Huangsi (皇嗣).
  3. ↑ กระโดดขึ้นไป:3.0 3.1 http://www.sinica.edu.tw/ftms-bin/kiwi1/luso.sh?lstype=2&dyna=%AD%F0&king=%A4%A4%A9v&reign=%AF%AB%C0s&yy=1&ycanzi=&mm=1&dd=22&dcanzi=
  4. กระโดดขึ้น She lost power in the palace coup of February 20, 705, and on February 22, she was forced to return imperial authority to her son Li Xian, who was restored as Emperor Zhongzong on February 23. The Zhou dynasty was terminated with the restoration of the Tang dynasty on March 3.
  5. กระโดดขึ้น Zhou dynasty was abolished before her death, and she was reverted to the rank of empress consort on her death, so she did not have a temple name, as empresses consort, unlike ruling emperors, were not given temple names.
  6. ↑ กระโดดขึ้นไป:6.0 6.1 6.2 ปีประสูตินี้ ได้มาจากการเอาพระชนม์กับปีสวรรคตที่ระบุไว้ใน นวพงศาวดารถัง(New Book of Tang) ฉบับ ค.ศ. 1045–1060 มาบวกลบกัน ผลลัพธ์ดังกล่าวนี้เป็นที่ยอมรับของนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ แต่ถ้าคำนวณตามที่ระบุไว้ใน พงศาวดารถัง (Book of Tang) ฉบับ ค.ศ. 941-945 จะได้ปีประสูติเป็น ค.ศ. 623 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ<ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "birth" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  7. กระโดดขึ้น วันเดือนปีที่ระบุไว้ตรงนี้ เป็นไปตาม ปฏิทินจูเลียน มิใช่ตาม ปฏิทินก่อนเกรโกเรียน
  8. ↑ กระโดดขึ้นไป:8.0 8.1 8.2 兩千年中西曆轉換 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "death" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  9. ↑ กระโดดขึ้นไป:9.0 9.1 Paludan, 100
  10. กระโดดขึ้น See, for example, Beckwith, 130, n. 51
  11. กระโดดขึ้น Empress of China: Wu Ze Tian, by Jiang, Cheng An, Victory Press 1998
  12. ↑ กระโดดขึ้นไป:12.0 12.1 12.2 Paludan, 96
  13. ↑ กระโดดขึ้นไป:13.0 13.1 13.2 http://www.womeninworldhistory.com/heroine6.html
  14. กระโดดขึ้น See, e.g., Bo Yang Edition of the Zizhi Tongjian, vol. 51, Preface.
  15. ↑ กระโดดขึ้นไป:15.0 15.1 New Book of Tang, vol. 76
  16. กระโดดขึ้น General note: Dates given here are in the ปฏิทินจูเลียน. They are not in the ปฏิทินก่อนเกรโกเรียน.
  17. ↑ กระโดดขึ้นไป:17.0 17.1 17.2 http://www.oknation.net/blog/print.php?id=601668
  18. กระโดดขึ้น Book of Tang, vol. 51
  19. ↑ กระโดดขึ้นไป:19.0 19.1 See, e.g., Zizhi Tongjianvol. 199 Chu Suiliang's assertion that she had "served" (euphemism for sexual relations) Emperor Taizong when trying to stop Emperor Gaozong from creating her empress.
  20. ↑ กระโดดขึ้นไป:20.0 20.1 20.2 20.3 20.4 20.5 20.6 20.7 20.8 20.9 Zizhi Tongjianvol. 206.
  21. ↑ กระโดดขึ้นไป:21.0 21.1 Paludan, 93
  22. กระโดดขึ้น The modern historian Bo Yang, based on the fact that Consort Wu's oldest son Li Hong was born in 652, fixed the date of this incident as 650, but 651 is also a possibility. See Bo Yang Edition of Zizhi Tongjian, vol. 47.
  23. กระโดดขึ้น Bo YangOutlines of the History of the Chinese (中國人史綱), vol. 2, p. 520.
  24. กระโดดขึ้น หลัวปินหวังDeclaration on Xu Jingye's Behalf Against Wu Zhao, collected in Guwen Guanzhi, vol. 7.
  25. ↑ กระโดดขึ้นไป:25.0 25.1 25.2 Zizhi Tongjianvol. 199.
  26. ↑ กระโดดขึ้นไป:26.0 26.1 26.2 26.3 26.4 Zizhi Tongjianvol. 200.
  27. กระโดดขึ้น http://www.stroke.com.tw/WEB/b/b1-4.htm
  28. กระโดดขึ้น See, e.g., Bo Yang Edition of the Zizhi Tongjian, vol. 40 [683].
  29. ↑ กระโดดขึ้นไป:29.0 29.1 29.2 29.3 Zizhi Tongjianvol. 201.
  30. กระโดดขึ้น For Wu Shihuo's career and family, see generally Book of Tang, vol. 58 [1] and New Book of Tang, vol. 206.[2]
  31. ↑ กระโดดขึ้นไป:31.0 31.1 31.2 31.3 31.4 Zizhi Tongjianvol. 202.
  32. กระโดดขึ้น ประวัติศาสตร์จีนฉบับย่อ, เขียนโดยหลี่เฉวียน แปลโดยเขมณัฏฐ์ ทรัพย์เกษมชัย, สำนักพิมพ์มติชน, มกราคม 2556
  33. ↑ กระโดดขึ้นไป:33.0 33.1 33.2 33.3 33.4 33.5 Zizhi Tongjianvol. 203.
  34. กระโดดขึ้น Paludan, 97
  35. กระโดดขึ้น Paludan, 97–101
  36. กระโดดขึ้น See, e.g., Zizhi Tongjianvol. 234 [submission of Lu Zhi to จักรพรรดิถังเต๋อจง, citing Wu Zetian as the prime example of a capable selector of officials]; Zhao Yi's Notes of the Twenty-Two Histories (二十二史劄記), Empress Wu Accepted Corrections and Knew People.[3], .
  37. ↑ กระโดดขึ้นไป:37.0 37.1 37.2 37.3 37.4 Zizhi Tongjianvol. 204.
  38. ↑ กระโดดขึ้นไป:38.00 38.01 38.02 38.03 38.04 38.05 38.06 38.07 38.08 38.09 38.10 38.11 Zizhi Tongjianvol. 205.
  39. ↑ กระโดดขึ้นไป:39.0 39.1 39.2 39.3 39.4 ประวัติศาสตร์จีนฉบับย่อ เขียนโดยหลี่เฉวียน แปลโดยเขมณัฏฐ์ ทรัพย์เกษมชัย ปี พ.ศ. 2557
  40. กระโดดขึ้น Throughout the Zizhi Tongjian descriptions of Wu Zetian's reign, Sima referred to her as "the Empress Dowager", implicitly refusing to recognize her as empress regnant, although he used her era names.
  41. กระโดดขึ้น Domesticating the Dharma, Richard D. McBride, 2007. Google Books Preview
  42. ↑ กระโดดขึ้นไป:42.0 42.1 Zizhi Tongjianvol. 208.
  43. ↑ กระโดดขึ้นไป:43.0 43.1 43.2 43.3 43.4 43.5 Zizhi Tongjianvol. 207.
  44. กระโดดขึ้น Jonathan Wolfram Eberhard (1997). A history of China. University of California Press. p. 388. ISBN 978-0-520-03268-2. สืบค้นเมื่อ 2010-06-28.
  45. กระโดดขึ้น The Zizhi Tongjian asserted that Li Chongrun was forced to commit suicide, but the Book of Tang and the New Book of Tang asserted in his biographies that he was caned to death on Wu Zetian's orders. Compare Zizhi Tongjianvol. 207, with Book of Tang, vol. 86 [4] and New Book of Tang, vol. 81.[5] The Book of Tang, meanwhile, inconsistently asserted in the chronicles of Wu Zetian's reign that he was forced to commit suicide. See Book of Tang, vol. 6.[6] The chronicles of Wu Zetian's reign in the New Book of Tang merely stated that the three of them "were killed." See New Book of Tang, vol. 4.[7]
  46. กระโดดขึ้น However, some modern historians, based on the text on Li Xianhui's tombstone (written after Emperor Zhongzong was restored to the throne in 705), which suggested that she died the day after her brother and her husband and that she was pregnant at death, and the fact that the skeleton believed to be hers had a small pelvis, have proposed the theory that she was not ordered to commit suicide, but had, in grief over her brother's and husband's deaths, had either a miscarriage or a difficult birth and died from that. See, e.g., illustrations preceding the Bo YangEdition of the Zizhi Tongjian, vol. 49.
  47. กระโดดขึ้น 说 in this place is pronounced as Yue, not Shuo. See, e.g., Heming Yong, Jing Peng, Chinese lexicography: a history from 1046 BC to AD 1911.
  48. กระโดดขึ้น http://www.sinica.edu.tw/ftms-bin/kiwi1/luso.sh?lstype=2&dyna=%AD%F0&king=%A4%A4%A9v&reign=%AF%AB%C0s&yy=1&ycanzi=&mm=2&dd=4&dcanzi=
  49. กระโดดขึ้น http://thai.cri.cn/chinaabc/chapter16/chapter160309.htm
  50. กระโดดขึ้น Book of Tang, vol. 6.
  51. กระโดดขึ้น This was a reference to a story relayed in the Han Feizi. In the story, it was mentioned that the king of Qi gave a beautiful woman to King Huai of Chu as a gift, to be his concubine. King Huai's jealous wife Queen Zheng Xiu (鄭袖) told her, "The King loves you greatly, but dislikes your nose. If you cover your nose whenever you see him, you can ensure that he will continue to be loved by him. She accepted Queen Zheng's suggestion. When King Huai asked Queen Zheng, "Why does she cover her nose when she sees me?" Queen Zheng responded, "She often said that Your Majesty had a stench to you." King Huai, in anger, yelled, "Cut off her nose!"
  52. กระโดดขึ้น This is a reference to the torture that จักรพรรดิฮั่นเกาจู่'s wife จักรพรรดินีฮั่นเกาcarried out against Emperor Gao's favorite concubine Consort Qi after Emperor Gao's death, once Empress Lü became empress dowager – by cutting her limbs off, blinding her, deafening her, and referring to her as the human pig (人彘).
  53. กระโดดขึ้น Paludan, 98
  54. กระโดดขึ้น Cotterell and Cotterell, 144
  55. กระโดดขึ้น Fairbank, 82

แหล่งข้อมูล[แก้]

  • Beckwith, Christopher I. (2009): Empires of the Silk Road: A History of Central Eurasia from the Bronze Age to the Present. Princeton: Princeton University Press. ISBN 978-0-691-13589-2.
  • Book of Tang, vol. 6.[8]
  • Cotterell, Yong Yap and Arthur Cotterell (1975). The Early Civilization of China. New York: G.P.Putnam's Sons. ISBN 978-0-399-11595-0.
  • Empress of China: Wu Ze Tian, by Jiang, Cheng An, Victory Press 1998
  • Kang-i Sun Chang,Haun Saussy,Charles Yim-tze Kwong (1999). Women writers of traditional China: an anthology of poetry and criticism. Stanford University Press.
  • Fairbank, John King (1992), China: A New History. Cambridge, Massachusetts: Belknap Press/Harvard University Press. ISBN 978-0-674-11670-2.
  • Murck, Alfreda (2000). Poetry and Painting in Song China: The Subtle Art of Dissent. Cambridge (Massachusetts) and London: Harvard University Asia Center for the Harvard-Yenching Institute. ISBN 978-0-674-00782-6.
  • New Book of Tang, vols. 4,[9] 76.[10]
  • Paludan, Ann (1998). Chronicle of the Chinese Emperors: The Reign-by-Reign Record of the Rulers of Imperial China. New York, New York: Thames and Hudson. ISBN 978-0-500-05090-3.
  • Rastelli, Sabrina (2008). China at the Court of the Emperors: Unknown Masterpieces from Han Tradition to Tang Elegance (25-907). Skira. ISBN 978-88-6130-681-3.
  • Scarpari, Maurizio (2006). Ancient China: Chinese Civilization from the Origins to the Tang Dynasty. Vercelli: VMB Publishers. ISBN 978-88-540-0509-9.
  • Watson, Burton (1971). CHINESE LYRICISM: Shih Poetry from the Second to the Twelfth Century. (New York: Columbia University Press). ISBN 978-0-231-03464-7.
  • Yu, Pauline (2002). "Chinese Poetry and Its Institutions", in Hsiang Lectures on Chinese Poetry, Volume 2, Grace S. Fong, editor. Montreal: Center for East Asian Research, McGill University.
  • Zizhi Tongjian, vols. 195199200201202203204205206207208.

ดูเพิ่ม[แก้]

  • Cawthorne, Nigel (2007). Daughter of Heaven – The True Story of the Only Woman to become Emperor of China. Oxford: One World Publications. pp. 271 pages. ISBN 978-1-85168-530-1.
  • Wu Zhao: China's Only Woman Emperor, written by N. Harry Rothschild and published 2008 by Pearson Education, Inc.
  • Empress Wu Zetian in Fiction and in History: Female Defiance in Confucian China by Dora Shu-fang Dien (Nova Publishing, 2003) explores the life of Empress Wu Zetian and the ways women found to participate in public life, despite the societal constraints of dynastic China.
  • Wu: The Chinese Empress Who Schemed, Seduced and Murdered Her Way to Become a Living God by Jonathan Clements offers a critical appraisal of many primary sources and includes an appendix comparing fictional accounts.